xs
xsm
sm
md
lg

ชดใช้หนี้จำนำข้าว-แดงเอี่ยวบึ้ม หมดอนาคต-ตายจริง!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ตามกำหนดเดิมที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายกำหนดเอาไว้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ จะต้องรายงานตัวเลขเข้ามาภายในวันที่ 30 กันยายน ก่อนที่จะสรุปส่งต่อให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ก่อนหน้านี้ รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย เคยประมาณความเสียหายเบื้องต้นเอาไว้ว่า “ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท” โดยคดีโครงการทุจริตจำนำข้าวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. คดีทางการเมือง คือ เรื่องถอดถอน ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ สนช. ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว 2. คดีทางอาญา ขณะนี้ได้ส่งเรื่องฟ้องไปยังศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว และ 3. การฟ้องทางแพ่ง เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับผิดชอบ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความผิดเกี่ยวข้องเจ้าหน้าที่รัฐ

โดยในขั้นตอนแรกได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง 2 ชุด คือ 1. กรรมการสอบเท็จจริงที่นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งร่วมกับ รมว.คลัง โดยสอบ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว ที่ขณะนี้ใกล้ปิดสำนวนแล้ว 2. กรรมการสอบข้อเท็จจริงที่นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งร่วมกับ รมว.พาณิชย์ เพื่อสอบข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ 6 คน ส่วนเอกชนไม่ต้องตั้งกรรมการสอบแต่แยกฟ้องต่างหาก หากเห็นว่าเชื่อมโยงสามารถเรียกสอบได้ และเมื่อกรรมการสอบข้อเท็จจริงทั้ง 2 ชุด ดำเนินการเสร็จจะรายงานกลับไปนายกรัฐมนตรีรับทราบโดยกรรมการทั้ง 2 ชุดจะต้องทำให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ จากนั้นส่งต่อไปยังคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่งเพื่อเรียกสินไหมทดแทนที่ระบุชื่อทั้ง 2 กลุ่มก็ระบุชื่อว่ามีใครบ้าง โดยจะต้องดำเนินการภายใน 2 ปี คือตั้งแต่ ก.พ. 2558 คือจะครบอายุความใน ก.พ. 2560 แต่เชื่อว่าจะเสร็จสิ้นได้ภายในเดือน ธ.ค. 2558 หรืออย่างช้าต้นปี 2559

ทั้งนี้ หากพบว่ามีความผิด รัฐจะไม่ฟ้อง แต่จะสั่งให้ชำระหนี้ เหมือนคำสั่งยึดทรัพย์ ซึ่งผู้ที่ทำผิดสามารถไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้ ซึ่งทุกอย่างน่าจะจบได้ในชั้นอายุความ ความหมายก็คือทุกอย่างจะจบภายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2560

หากเป็นไปตามนี้ทุกอย่างก็กระชั้นเข้ามาทุกขณะ เพราะในส่วนของคดีอาญาก็อยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เดินหน้าไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว นั่นคือ การ “เสี่ยงคุก” ส่วนคดีทางแพ่งที่จะสั่งให้ชดใช้หนี้มูลค่าที่ประเมินเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ก็กำลังตามมา ทุกอย่างจึงหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะยอมทำใจได้ ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ได้เห็นทางฝ่าย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะพยายามหาทาง “ยื้อ” เวลาออกไปให้นานที่สุด ล่าสุด ได้ยื่นฟ้องอัยการสูงสุดกับพวกอ้างว่า “ฟ้องมิชอบ” เป้าหมายก็เพื่อให้ “ยุติคดีชั่วคราว” เพื่อรอการตรวจสอบ ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แต่ถ้าพิจารณากันด้วยน้ำหนักแล้วน่าจะรู้คำตอบล่วงหน้าแล้วว่าไม่น่าจะมีผล

อีกเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ที่กระทบกระเทือนต่อความรู้สึก ทำลายความศรัทธาลงไปอีก ก็คือ ข้อมูลล่าสุดจากฝ่ายตำรวจที่มีการแถลงอย่างเป็นทางการเมื่อสองวันก่อนถึงความคืบหน้าในการคลี่คลายระเบิดที่แยกราชประสงค์ และสะพานสาทร นั่นคือคำยืนยันจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ 10 จากจำนวน 17 หมายจับ คือ “อ๊อด พยุงวงศ์” หรือนายยงยุทธ พบแก้ว เป็น “กุญแจสำคัญ” ที่จะสาวไปถึงผู้บงการซึ่งเป็นไปได้ว่า “น่าจะเป็นคนไทย”

ความเชื่อดังกล่าวเกิดขึ้นทันทีเมื่อพิจารณาจากข้อมูลทางคดีย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2553 ในเหตุการณ์ระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และเหตุการณ์ระเบิดที่มีนบุรีเมื่อปี 57 รวมทั้งจากข้อมูลการสอบสวนยังพบว่า นายอ๊อดคนนี้ยังไปมาหาสู่กับกลุ่มผู้ต้องหาทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ไมมูณาอพาร์ทเมนต์ย่านมีนบุรี

จากข้อมูลทางคดียังพบว่า นายอ๊อดคนนี้เคยเป็น “การ์ด นปช.” หรือคนเสื้อแดงเคยถูกศาลจำคุก 1 ปีในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ให้รอลงอาญา ขณะเดียวกัน ยังเคยถูกจับกุมมาแล้วถึง 9 ครั้ง แต่ที่น่าแปลกก็คือ คนคนนี้ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีที่มาที่ไป “กลายเป็นบุคคลลึกลับ” และตอนนี้ก็หลบหนีหมายจับหลายคดี

สรุปก็คือ นายอ๊อดซึ่งเป็นบุคคลลึกลับแบบพิลึกคนนี้เคยเป็นการ์ด นปช. หรือคนเสื้อแดง เป็น “กุญแจสำคัญ” สำหรับสาวไปถึงผู้บงการในคดีวางระเบิดแยกราชประสงค์ และสะพานสาทร ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าคนบงการที่ว่านั้น “น่าจะเป็นคนไทย” ส่วนจะเป็นใคร เป็น “คนในครอบครัวไหน” หากพิจารณาเจตนาเป้าหมายในการทำลายจากระเบิดดังกล่าวก็น่าจะเดาออกได้ไม่ยาก

ดังนั้น เมื่อรูปการณ์และแนวโน้มออกมาแบบนี้ เมื่อทั้งสองเหตุการณ์เดินมาบรรจบกันอย่างไม่น่าเชื่อมันก็น่าจะหมดอนาคต มันคงไม่ใช่แค่ “แกล้งตาย” แต่น่าจะ “ตายถาวร” มากกว่า!
กำลังโหลดความคิดเห็น