เกาะกระแส
00 ก็เป็นไปตามคาดหมายอยู่แล้วว่าในที่สุดคดีเงินกู้ของแบงก์กรุงไทยร่วมหมื่นล้านบาทให้กับกลุ่มธุรกิจ"กฤษดามหานคร"เมื่อหลายปีก่อนก็ต้องมีความเชื่อมโยงเข้าไปใกล้คนในครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปทุกที ล่าสุดจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ ดีเอสไอพบว่ามีเส้นทางเดินไปถึงพนักงานบางคนของบริษัท"ฮาวคัม"ที่มี พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของ ทักษิณ เป็นเจ้าของ โดยพบว่ามีการใช้ชื่อของพนักงานบริษัทดังกล่าวซื้อหุ้นหลังจากได้รับเงินกู้ของกลุ่มกฤษดาฯจำนวน 1600 ล้านบาท เมื่อปี 46-47
00 แน่นอนว่าเส้นทางการเงินเหล่านี้สามารถไล่ตรวจสอบได้ไม่ยาก หากมีความต้องการดำเนินการอย่างจริงจังและตรงไปตรงมา และคราวนี้เมื่อเปลี่ยนแปลงเป็น"ฟ้าสีทอง"ที่ดีเอสไอ มีการเปลี่ยนแปลงที่กระทรวงยุติธรรมที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา คุมขบวนอยู่รวมไปถึงว่าที่ปลัดกระทรวงคนใหม่ สุวณา สุวรรณจูฑะ ก็ไว้ใจได้ ทุกอย่างมันถึงเวลาสะสาง จากคดีที่เคยมีแค่เรื่องการ"ฟอกเงิน"ตามที่เคยมีการรับฟ้องกันตั้งแต่ยุค คตส.แปรสภาพมาเป็นปปช.ต่อไปก็อาจเพิ่มคดี"รับของโจร"เข้ามาเพิ่มก็ได้ หากการตรวจสอบดำเนินการอย่างเข้มข้น เพราะทุกเส้นทางย่อมมีร่องรอย มีบันทึกจากธปท.และปปง.ก็คุ้ยได้ไม่ยากอยู่แล้ว ถึงว่างานนี้นี่คือ"เส้นทางกรรม"ที่ย้อนกลับมาติดตามแบบน่าจะดิ้นรนหลุดยาก !!
00 บินนำคณะเล็กๆไปร่วมประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์กสหรัฐฯด้วยภารกิจสำคัญราวหนึ่งสัปดาห์คือตั้งแต่วันที่ 24-30 ก.ย.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.เชือว่างานนี้คงถือโอกาสโชว์วิสัยทัศน์ "เศรษฐกิจพอเพียง"แนวทางเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่ ขณะเดียวกันมองมุมไหนก็คงไม่น่าเป็นห่วงกับพวก"รับงานป่วน"เพราะเชื่อว่าคงไม่มีน้ำหนักและไม่มีราคาพอต้องนำมาใส่ใจ !!
00 แต่ที่น่าสนใจก็คือวันที่ "ลุงตู่"เดินทางไปสหรัฐฯหันกลับมาที่เมืองไทยก็บังเอิญว่ามี เกล็น เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยคนใหม่ก็ประเดิมเข้ามาทำงานวันแรกพอดีเหมือนกัน มองในมุมบวก ก็เหมือนกับเริ่มศักราชความสัมพันธ์ระดับปกติอีกครั้ง หลังจากได้ลดระบบเหลือเพียงระดับอุปทูตหลังมี คสช.เมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 เป็นต้นมา ก็โอเค เพราะถึงอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายสหรัฐฯเองว่าจะเลือกความสัมพันธ์แบบไหน !!
00 นี่ก็อีกไม่นานเกินรอแล้วสำหรับโครงการไล่บี้เอาผิดกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่ล่าสุด ปลัดกระทรวงการคลัง และในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการดังกล่าว รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ สรุปตัวเลขออกมาคร่าวๆให้เห็นแล้วว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากทุกรัฐบาล 15 โครงการทั้งก่อนยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ รวมแล้วว่า 7 แสนล้านบาท แต่แน่นอนว่ายุคยิ่งลักษณ์ นี่เป็นน้ำเป็นเนื้อกว่า 5.36 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสรุปความเสียหายทั้งหมดได้ภายในสิ้นปีนี้และเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายได้ภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปีหน้า แต่คำถามก็คือถึงที่สุดแล้วด้วยระบบการเมืองแบบไทยๆจะเอาเงินกลับคืนมาได้จริงสักกี่บาทกันแน่ หรือสุดท้ายก็เกี้ยเซียะเจ๊าๆกันไป เหมือนทุกครั้งหรือไม่ก็คนทำผิดหนีไปต่างประเทศสบายใจเฉิบ !!