ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่าตั้งแต่กลางปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวใกล้ชิดล้วนเจอกับเรื่องร้ายๆ ประดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และหนักหน่วง จากเดิมที่เคยเป็น “ผู้กระทำ” ก็เริ่มถอยร่น และ “ถูกกระทำ” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างไรก็ดี หากจะพูดว่านี่คือ “ผลจากกรรม” ก็ไม่น่าจะผิดนัก
เริ่มกันแบบสดๆ ร้อนๆ เรียงตามลำดับให้เห็นภาพ ก็คือ กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาจำคุกอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยหลายคนจำนวนตั้งแต่ 18 ปีลงมา กรณีปล่อยกู้ให้กับกลุ่มธุรกิจในชื่อ “กฤษดามหานคร” จำนวนวงเงินร่วมหมื่นล้านบาท โดยในคดีนี้มี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 แต่เมื่อยังหลบหนีศาลก็ต้องจำหน่ายคดีออกไปชั่วคราวก่อนพร้อมทั้งมีการออกหมายจับ
คดีดังกล่าวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2547 มีการสอบสวนตั้งแต่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให่เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และกลับมาเป็น ป.ป.ช. อีกรอบ ในปี 50-51 ได้สรุปสำนวนให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง แม้ว่าเส้นทางการพิจารณาสอบสวนคดีจนมาถึงการพิพากษาคดีของศาลฎีกาฯจะยืดเยื้อยาวนานเกือบสิบปี แต่จากคำตัดสินในวันนั้นก็ทำให้เห็นว่าโทษจำคุกจำเลยที่ถือว่าเป็น “เจ้าพนักงานของรัฐ” ถูกจำคุก 12-18 ปี ถือว่า “หนัก” แม้ว่ามีการเชื่อว่าอดีตผู้บริหารธนาคารดังกล่าวอาจจะไม่ได้มีส่วนรับเงินจำนวนดังกล่าวไป แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนไม่ให้มีการทำตามคำสั่งมิชอบของนักการเมืองในอนาคต
แม้ว่าในคดีนี้ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ยังหลบหนี และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้จำหน่ายคดีออกไปชั่วคราว และมีการออกหมายจับอีกด้วย
จากคำพูดของ แก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ที่ร่วมตรวจสอบคดีดังกล่าวมองว่าในอนาคตสามารถทำเรื่องไปยังต่างประเทศเพื่อขอส่งเป็น “ผู้ร้ายข้ามแดน” ได้ เนื่องจากในทุกประเทศมีฐานความผิดที่เกี่ยวกับการ “ทุจริตต่อหน้าที่” ซึ่งเป็นหน้าที่ของอัยการฝ่ายต่างประเทศที่ต้องดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ ในคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยเคยมีชื่อของ พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ ทักษิณ ชินวัตร กับพวกอีก 3 คนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และที่ผ่านมาเคยถูกเสนอให้ฟ้องในข้อหารับรองโจรและฟอกเงิน แต่ที่ผ่านมาทางพนักงานอัยการอ้างว่าบุคคลดังกล่าวไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมยุติธรรม เปิดเผยเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ว่า “ได้เรียกนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ ให้เข้ามารายงานการดำเนินคดีดังกล่าวแล้ว โดยอธิบดีดีเอสไอรายงานว่าดีเอสไอรับสอบสวนคดีดังกล่าวตามมติคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ตั้งแต่ปี 2550 โดย คตส.เป็นผู้ยื่นให้ดีเอสไอสอบสวน ก่อนมีการเสนอรับเป็นคดีพิเศษ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของดีเอสไอ กคพ. มีมติให้รับเป็นคดีพิเศษเฉพาะข้อหาฟอกเงิน ไม่มีข้อหารับของโจรตามที่อัยการสูงสุดระบุว่าดีเอสไอรับผิดชอบสอบสวนคดีดังกล่าวอยู่”
ขณะที่ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ เผยว่า “ขณะนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างขอคัดสำเนาคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดีฟอกเงิน โดยจะมีการเชื่อมโยงและขยายผลถึงผู้ที่นำเงินจากการปล่อยกู้ไปใช้ประโยชน์ ทั้งนี้จะมีการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวในวันที่ 7 กันยายน คาดว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาผู้กระทำผิดได้ภายใน 1 เดือน”
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากคดีรับจำนำข้าวที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังถูกฟ้องฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 และความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำลังเดินเครื่อง และมีสัญญาณเริ่มแรกเป็นลบกับฝ่าย ทักษิณ นั่นคือ ศาลฎีกาฯ ยกสองคำร้องรวดในเรื่องโอนให้ศาลปกครองพิจารณา และคัดค้านการเพิ่มบัญชีพยานของฝ่ายโจทก์ แค่นี้ก็หนาว อย่าลืมว่านี่คือคดีอาญาที่เป็นพิเศษ “เดินเร็ว” กว่าศาลอื่น ดังนั้น เมื่อ “ยื้อ” ไม่สำเร็จมันก็เสี่ยงสูง เดิมพันถึงคุกหลายปี เหมือนกับตัวอย่างในคดีเงินกู้กรุงไทย ขณะเดียวกันยังต้องเจอกับการฟ้องแพ่งตามมาอีก ซึ่งล่าสุดทางกระทรวงพาณิชย์ก็ยืนยันว่ากำลังเร่งสรุปตัวเลขให้เสร็จอีกไม่นานก็ยิ่งระทึกเป็นทวีคูณ
หากพิจารณาจากคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 ซึ่งถือว่ามีน้ำหนักสูงมาก ตามมาด้วยคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกฟ้องอาญาฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และอาจถูกฟ้องแพ่งตามมา ส่วน พานทองแท้ ชินวัตร ก็กำลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษเดินหน้าฟ้องในคดีที่เกี่ยวเนื่องจากคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยฐาน “ฟอกเงิน” ภายในหนึ่งเดือนนี้ ก็ถือว่านี่คือวิบากกรรมครั้งใหญ่ที่กระชั้นเข้ามาเร็วผิดตา และน่าสนใจก็คือทุกคดีล้วนเสี่ยงคุกหลายปีและเสี่ยงต่อการชดใช้ค่าเสียหายและริบทรัพย์คืนหลวงเป็นเงินสูงมาก ดังตัวอย่างจากคำพิพากษาคดีเงินกู้ที่จำเลยหลายคนโดนกันจนอ่วม!