นายกรัฐมนตรีระบุแม่น้ำ 3 สายที่เหลือ เดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เตรียมไล่บี้ค่าโง่ทางด่วน-คลองด่าน-ไอทีวี ซัดสมาคมนักข่าวฯ ไม่มีประโยชน์ ควบคุมจรรยาบรรณไม่ได้ ย้ำไม่ปรองดองจนกว่าผ่านกระบวนการยุติธรรม บอกคนถูกเรียกปรับทัศนคติ หากยังผิดไปขึ้นศาลเลย ซัดนักวิชาการแดง “ปวิณ” คนเฮงซวย ชี้ผิด 112 สื่อกลับไปโฆษณา ยันไม่ได้เลวเหมือนองคุลีมาล ยันใช้ ม.44 เรียกนักการเมือง-สื่อปรับทัศนคติ ไม่เคยเกลียดใครส่วนตัว
วันนี้ (15 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมร่วมระหว่างคณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า งานหลังจากนี้รัฐบาลต้องเร่งบริหารราชการแผ่นดิน ในลักษณะเชิงบูรณาการโดยเอายุทธศาสตร์ชาติที่ร่างไว้มาดูว่าจะทำอย่างไร และจะสอดคล้องการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร เพื่อให้เกิดการปฏิรูปในระยะที่ 1 ให้ได้ และเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หากตนไม่เริ่มทำวันนี้ ทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าจะปฏิรูปกันอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะล็อกทุกอย่างจนขยับไม่ได้ ยุทธศาสตร์ชาติก็เขียนเหมือนกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ที่ผ่านมาไม่ได้อ่านและไม่ได้ปฏิบัติเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยถ้าทุกอย่างเดินตามแผนตั้งแต่ในอดีต คงไม่ต้องถึงตนเข้ามาในวันนี้ แค่นี้ยังไม่ยอมจะแล้วเชื่อมั่นได้อย่างไรว่ามีการปฏิรูป
“หากยุทธศาสตร์ชาติ ยังคิดแต่เพียงว่าผมจะมีอำนาจไปทับซ้อน คิดอยู่แค่นี้ไม่รู้เป็นอย่างไร อยากได้แต่อำนาจ และพอมีอำนาจก็ไม่ทำดีอย่างที่ประชาชนไว้วางใจ วันนี้ผมได้สั่งให้สรุปความเสียหาย ในโครงการต่างๆ ในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมาซึ่งมีหลายเรื่อง โดยรัฐบาลนี้ต้องแก้ไข เป็นเรื่องที่ฟ้องก่อนหน้าที่ผมจะมาทั้งสิ้น จำนวนเงินสูงพอสมควร ถ้าแพ้อีกก็จะเหมือนคดีคลองด่าน ถ้าผมไม่เข้ามาจะได้รับการแก้ไขหรือไม่ เรื่องเหล่านี้มันผิดเพราะใคร การบริหารราชการแผ่นดินผิดเพราะใคร การต่อสัญญาทางด่วน คลองด่าน และไอทีวี เรื่องพวกนี้อยู่ในคดีความทั้งสิ้น เดี๋ยวถ้าประกาศออกมาอย่ามาโทษผมนะ ผมกำลังจะแก้ไขให้มันดีขึ้น กระบวนการศาลว่าอย่างไรไปหาข้อยุติให้ได้โดยเร็ว เพราะนี่คือหนี้สาธารณะทั้งสิ้น รวมกับเรื่องข้าวที่ผ่านมาเป็นเงินเท่าไหร่ แทนที่จะมาสร้างรถไฟ โดยไม่ต้องกู้ใคร หรือสร้างถนนร้อยเส้น สิบเส้น และกองทุนหมู่บ้านที่ต้องให้ได้มากกว่านั้น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้การลงทุนบางอย่างรัฐบาลก็ต้องใช้เงินลงทุน เพราะถือว่าเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ ดังนั้นเงินที่รัฐบาลให้ไปอย่างกองทุนหมู่บ้าน ก็ต้องไปทำให้เกิดรายได้ในภาพรวม ตรงนี้จะเกิดรายได้ในอนาคต แต่ที่ผ่านมาสักแต่ว่าให้แล้วจบ ไม่เห็นความแข็งแรง ทั้งๆที่เงินเหล่านี้ก็มีมานานแล้ว วันนี้รัฐบาลพยายามเริ่มให้เขาเข้าใจ หากปลูกข้าวไม่ได้ก็ปลูกพืชชนิดอื่น ซึ่งก็มีเกษตรกรหลายคนปรับเปลี่ยน ตรงนี้ถือเป็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ทำไมสื่อไม่นำเสนอให้สังคมและต่างประเทศรับรู้
“เพราะยังไงท่านก็ไล่ผมออกนอกประเทศไทยไม่ได้หรอก ผมบอกซะก่อน ในเมื่อไล่ผมไม่ได้ก็ต้องให้ผมทำงาน ให้การบริหารราชการแผ่นดินเร็วขึ้น ลดความขัดแย้ง ผมก็เห็นแต่สื่อเท่านั้นที่ช่วยผมได้ ผมพูดเองการรับรู้ก็ไม่เหมือนกับสื่อเขียน สื่อไม่เคยเขียนผิดจากที่ผมพูดหรอก ผมเข้าใจไม่ได้ต่อว่า แต่เขียนถึงอีกฝ่ายให้มันดูรุนแรงขึ้น แล้วผมถามว่าประเทศไทยจะถูกมองว่าสงบหรือยัง เขาก็บอกว่าไม่สงบ สถานการณ์การเมืองไม่มีเสถียรภาพ การค้า การลงทุนก็เสียหาย คนมาเที่ยวลดลงนั่นแหละ สื่อต้องมองในมิตินี้ให้ผมด้วย ไม่อย่างนั้นสมาคมสื่อตั้งมาก็ไม่มีประโยชน์ ทำหน้าที่ควบคุมอะไรไม่ได้เลย เพราะคุมสื่อให้มีจรรยาบรรณไม่ได้ ผมไม่ได้พูดถึงสื่อที่เขียนดีอยู่แล้ว แต่มันมีบางคนที่ไม่มีจรรยาบรรณเหมือนกับใช้ตาข้างเดียว มองเห็นแต่ความบกพร่อง ความผิดพลาดตลอดเวลา ในเมื่อที่ผ่านมา ก็คนเดิมนี่แหล่ะ อยู่ข้างคนที่ทำผิดตลอดเวลา นั่นแหละคนเหล่านี้ผมเรียกว่าไม่มีจรรยาบรรณ พอทำอะไรไปก็หาว่าผมไปจำกัดสื่อ ผมไปจำกัดอะไรที่ไหน ผมไม่เคยไปวุ่นวายแต่อาจจะเสียงดังบ้างอะไรบ้าง ซึ่งผมอาวุโส อายุมากกว่าฟังผมบ้างจะเป็นอะไรไป เหมือนฟังผู้ใหญ่คนหนึ่งบ่น ตรงนี้อยากให้ไปคิดหากประเทศชาติยังขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้จะไปทำอะไรได้ จะสตรองเกอร์ ทูเก็ตเตอร์ คงไม่มีทาง จะเป็นประชาธิปไตยสากลก็ไม่มีทางอีก การตัดสินตามกระบวนการต่างๆทำไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรอีกประเทศไทย จะเหลืออะไรให้ลูกหลาน ผมพยายามพูดจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ทุกวันนี้ ก็หวังแค่นั้น จะอยู่ไม่อยู่ผมบอกแล้วว่า ไม่ได้คิดไม่ได้อยากเอง อยากอยู่ก็ไม่ได้ ไม่อยากอยู่ก็ไม่ได้ วันนี้มันอยู่ตรงกลางพอดี” คนส่วนหนึ่งก็ตั้งความหวังกับรัฐบาลอีกส่วนหนึ่งก็ต่อต้านทุกเรื่องทุกเม็ด ก็มีอยู่สองพวกซึ่งต้องถามว่าสองพวกนี้ทำความดีมากน้อยอย่างไร ถ้าท่านแยกไม่ออกว่าใครทำดีไม่ดี ผมว่ามันไม่ได้ ผมกล่าวไว้แค่นั้นไม่ได้ตำหนิใคร ผมคิดและพูดเหนื่อยอยู่ทุกวัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงถึงกรณีจุดยืนการปรองดองของรัฐบาลว่า เรื่องปรองดองจะมีในด้านใดบ้าง ปรองดองทางกฎหมายมีหรือไม่ ปรองดองในคดีที่ไม่หนักหนาได้หรือไม่ แต่ต้องมีการรับผิดไปก่อน อยู่ดีๆ จะให้ยกไปเฉยๆ ไม่ได้ เช่น คดีปี 53 ที่ติดคุกมาหลายปีแล้ว ก็ต้องไปดูว่าเป็นคดีที่เกิดจากตัวเองกระทำหรือไม่ ถ้าอยากจะปล่อยให้คนพวกนี้ให้เร็วขึ้น ก็ต้องถามหาความเมตตาจากศาล เพื่อให้คนเหล่านี้ออกมาข้างนอก ก็ต้องไปหาว่าใครเป็นคนสั่งเขา ใครหาอาวุธให้เขา จะได้มีความชัดเจน ไม่อย่างนั้นก็ติดคุกกันแบบนั้น ตนไม่ได้เป็นคนขัง แต่ศาลเป็นคนขัง ก่อนที่ตนจะเข้ามาอีก ตนต้องการจะดูแลคนเหล่านั้น แต่ติดที่เรื่องของกฎหมาย รวมถึงคนที่กระทำความผิดตั้งแต่ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ถ้าไม่เข้ากระบวนการยุติธรรม ตนจะไม่ปรองดองกับใคร ปรองดองกับใครไม่ได้
“ไม่มีใครมาดีลกับผม ตกลงไม่ได้ ผมไม่เคยไปดีลกับใคร ผมมาอย่างนี้จะไปดีลกับใคร เขาไม่ได้จ้างผมปฏิวัตินี่หว่า หรือเขาให้ผมมาปฏิวัติเพื่อจะดีลกับผม ไม่เกี่ยวกัน ผมเป็นคนตัดสินใจเอาตัวผมเข้ามาเสี่ยงเอง เข้าใจกันซะบ้าง เพราะฉะนั้นผมดีลกับใครไม่ได้ อนาคตผม ชีวิตผม ฝากใครได้ล่ะ”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า วันนี้ต้องสู้กับสื่อ สู้กับคนบ้าง บริหารราชการแผ่นดินบ้าง สั่งไปจนเวียนหัวหมดแล้ว เยอะแต่จำได้หมด ไม่ต้องกลัว จำได้ สมองยังดีอยู่ ยังไม่แก่มากนัก ยังจำได้หมดทุกอัน ตนก็ไม่เคยสั่ง พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เวลาสัมภาษณ์ให้ไปโจมตีคนนั้นคนนี้
“แต่ทำไมมีคนโจมตีผม ถ้าผมทำความชั่ว ผมไม่อยู่แล้ว ถ้าผมคิดว่าผมความดีแล้วคนอื่นเห็นความดีของผม ผมก็จะช่วยเขาสู้กับคนพวกนี้โดยที่ผมมีกฎหมายของผมอยู่ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ประกาศล่วงหน้าแล้ว จำคำพูดไว้ด้วยนะ แล้วอยู่ดีๆ จะเอาคนนู้นมาคุม ประกาศไว้แล้วเรื่องต่อไปนี้ อย่าทำ เหมือนท่านห้ามลูกหลานท่าน อย่าทำนู่น อย่าทำนี่ ห้ามไปเล่นน้ำ เดี๋ยวจมน้ำตาย แล้วมันก็ไปเล่นน้ำกับเพื่อน กลับมาก็ต้องตีหรือไม่ ก็ต้องตี ทำไมไม่คิดแบบนี้ล่ะ ถ้าตีแล้วยังดื้ออีก ก็ต้องว่าวิธีอื่น ถ้าเป็นฝรั่งเขาใช้วิธีห้ามออกนอกบ้าน เขามีหมดสังคมโลกเขามีกติกาแบบนี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
“เมื่อกี๊ผมฟังรัฐมนตรีเล่าให้ฟังในการสอนปริญญาโทในตำราเขียนไว้อยู่แล้วว่าทุกประเทศ ประชาธิปไตยดีที่สุด แต่เมื่อไหร่ก็ตามประชาธิปไตยมีความขัดแย้ง มีอำนาจแบบผมเท่านั้นถึงจะแก้ได้ ทั้งโลกเขาสรุปมาแล้วไปอ่านซะบ้าง ผมก็ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง”
“ประเทศไทยมีกัน 70 ล้านคน ตีกันจะตายอยู่แล้ว ผมพยายามรวบรวม 70 ล้านคนให้อยู่กันให้ได้เกินครึ่ง ก็ยังไม่ได้ ทะเลาะกันอยู่นั่น คนไม่คนหรอกที่ออกมาพูด แล้วเป็นอย่างไร เดือดร้อนอะไรนักหนา ผมไม่เข้าใจ เรียกมา 7 วัน บอกสิทธิส่วนบุคคล แต่สิทธิที่ผมต้องปกป้องตัวเองมีให้ผมไหม ชื่อเสียงเกียรติยศผมมี ผมมีสิทธิปกป้องตัวเองหรือไม่ ปกป้องคนทำงาน ปกป้องรัฐบาลได้หรือไม่ ไม่มีเลยหรือ ให้ไอ้คนแบบนี้หรือ ปกป้องคนแบบนี้หรือ คดีทุกคดียุ่งหมด เกเรอิทธิพล เป็น ส.ส.เข้าไปอีก ตบเมียกลิ้งกลางสนามบิน อย่างนี้หรือ ทำไมไม่ไปว่าเขาเล่า ปกป้องคนเหล่านี้ไว้อยู่ได้ คนที่ทำความเสียหายกับประเทศปกป้องอยู่ได้ เปิดให้พูดอยู่ได้ ผมก็ต้องเอากฎหมายออกมาใช้ให้มันเงียบ ก็ไปคุ้ยให้เขาอีก นี่ผมพูดเต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรมากกว่านี้ หมดแล้ว”
เมื่อถามว่าการดำเนินการเรื่องการปล่อยตัวบุคคลที่ถูก คสช.ควบคุมตัวปรับทัศนคติ จะชัดเจนอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ให้ คสช.เป็นผู้พิจารณา ถ้าพูดกันรู้เรื่องก็โอเค แต่ตนเคยบอกไปแล้วว่าสิ่งที่เคยสัญญาเอาไว้แล้ว คือ 1. ต้องไม่ทำอะไรให้เสียหาย และเกิดความรุนแรง 2. ห้ามเดินทางไปต่างประเทศ และ 3 ระงับธุรกรรมทางการเงิน ทั้ง 3 ข้อ ทุกคนได้เซ็นรับทราบไว้หมดแล้ว ส่วนมาตรการระงับธุรกรรมทางการเงิน ยังไม่ได้ทำเลย และถ้าครั้งหน้าทำผิดอีกจะไม่ทำการตกลงอะไร จะโดนหมดรวบยาวไปเลยขึ้นศาลกันเลย
เมื่อถามย้ำว่าจะคิดที่เรียกมาพูดคุยตกลงอะไรกันอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงดุดันว่า ไม่คิด จะไปคิดแทนเขาได้ยังไง ตนเป็นคนออกกติกาเขาทำผิดกติกา ต้องไปถามคนทำความผิด จะให้ตนเลือกชื่ออย่างนั้นหรือว่าคนนี้เอา คนนี้ไม่เอาเพราะชื่อเหมือนรองนายกฯ(ประวิตร) อย่างนั้นหรือ ถ้าทำผิดก็ว่าไปตามผิดอย่าไปปกป้องเขาเลย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกรณีการวิพากษ์วิจารณ์การเรียกตัวนักการเมือง รวมทั้งคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและ คสช.มาปรับทัศนคติว่า เรื่องนี้ใครจะต่อต้านตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะใช้ความรุนแรงไม่ได้ แม้แต่จะเรียกเขามายังเป็นปัญหาเลย ยิ่งสื่อไปขยายความ ต่างประเทศก็เล่นงานตนมากขึ้น จึงอยากถามว่าประชาชนต้องการอะไร หรือต้องการให้เป็นแบบนี้ไม่ต้องทำอะไร ใครจะขัดขวางก็ปล่อยไป แล้วมันจะทำงานสำเร็จได้อย่างไร จึงอยากให้สื่อช่วยอธิบายว่าสิ่งที่ผมทำในเรื่องการใช้มาตรา 44 นั้นไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ผมไม่ชอบไอ้คนนี้แล้วไปเรียกคนนี้มา ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่กฎหมายตามมาตรา 44 เขียนไว้ชัดว่า กฎหมายและคนทุกคนต้องปฏิบัติตาม ซึ่งจะต้องยึดถือตามนี้ เพราะตนไม่ได้เขียนว่าให้ลงโทษใคร แต่กฎหมายบัญญัติไว้ว่ามาตรา 44 มีไว้เพื่อทำให้เกิดความมั่นคงในทุกๆ ด้าน เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ขัดคำสั่งก็ถือว่าผิดกฎหมาย ถ้าไม่ทำผิดผมก็ไปจับไม่ได้ ทำไมไม่มองตรงนี้ สื่อยิ่งขยายความเดี๋ยวคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็มาเล่นงานต่อ แล้วมันจะแก้ปัญหาอะไรได้
“อย่างกรณีของนายสุนัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรต์วอตช์ประจำประเทศไทยก็ไปกันใหญ่แล้ว มีการเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีต่างๆ ผมเสียดายไม่รู้เขาเกิดมาเป็นคนไทยหรือเปล่า ผมไม่ได้ว่าอะไรที่ท่านทำหน้าที่ เพื่อโลกแต่อยากถามว่าท่านทำเพื่อโลกจริงหรือเปล่า เพราะดูเจตนาง่ายๆ ก็รู้ว่าเจตนาผิดหรือไม่ผิด แต่สื่อก็ยังเข้าข้างกันตลอด เพราะเขาใช้กลไกปกป้องตัวเองจะองค์กรต่างๆ แล้วมันจะไปได้อย่างไร แม้กระทั่งสื่อบ้างคนที่ต้องเรียกมาคุย ความจริงผมไม่อยากรบกับสื่อ แต่ถามว่าคนๆ นี้พูดจาแบบนี้มาตลอดหรือไม่ ซึ่งทุกคนก็รู้ดี ดังนั้นทุกคนต้องยอมรับในกติกาว่าเราสร้างกติกาไว้เพื่อสร้างความสงบสุขให้แก่สังคม การรักษาช่วงเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขณะเดียวกันสถานการณ์ขณะนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราจะเข้ามาเปลี่ยนรัฐบาล แต่เป็นเพราะเราอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ลืมกันไปหรือยังก็ต้องมีกลไกเพื่อรักษาสถานการณ์ให้มันสงบ ถ้าผมไม่มีอะไรเลยก็แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วปัญหามันก็จะเป็นแบบเดิมด้วยคำว่าประชาธิปไตยที่ไร้ขีดจำกัด ใครทำอะไรก็ได้ ผิดกฎหมายยังไงก็ได้ และปัญหาต่างๆ ก็ไม่ได้เกิดในสมัยตนแต่ต้องมาแก้ทุกเรื่อง แต่ถ้าต้องการส่งเสริมอีกฝ่ายให้มาต่อต้านตนก็ยินยอมตอบรับในทุกเรื่องที่ผ่านมาก็แล้วกัน แต่ตนไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก วันนี้ตนยอมรับว่าผมไม่สบายใจ บางคนอยากให้ตนทำงานต่อ ซึ่งตนก็ดูแล้วประเทศไทยก็ยังไม่สงบ วันนี้เราต้องส่งเสริมระดับความปรองดองเบื้องต้นให้ได้เสียก่อน ถ้าทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองฝ่ายใดมารวมกันเพื่อกำหนดกติกา ทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปได้ แต่ถ้ายังไปสนับสนุนคนที่ไม่ดี ทำความผิดด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง สถานการณ์ก็จะถูกดึงออกไปอีก จากคนไม่กี่คนที่ต้องเรียกมาคุยในเมื่อคนเหล่านี้ทำความผิดจะไปให้เครดิตทำไม ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ผมไม่ชอบหน้าเขาแล้วไปเรียกเจามา เพียงแต่ใครผิดก็ต้องเรียกมาทั้งหมด
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังว่า ที่ประชุมได้มีการพูดถึงงานในงานด้านการต่างประเทศ ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตนไม่กังวลหากไปต่างประเทศแล้วมีคนมาต่อต้าน เพราะทุกประเทศมีมาตรการของเขาอยู่แล้ว แล้วคนที่มาต่อต้าน ก็ต้องไปช่วยสร้างความรับรู้ว่าเป็นอย่างไร
“ใช่หรือไม่ ทำไมไม่พูดให้ผมบ้าง ว่าคนนี้มันหนีไปเพราะอะไร ที่จะมีการชวนมาต่อต้านผมที่นิวยอร์ค ใคร ผมเอ่ยชื่อก็ได้ ปวิณน่ะ (ปวิณ ชัชวาลพงศ์พันธุ์) ทำไม ทำความผิดอะไร ตอบ ก็ไม่รู้อีกกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้วท่านยอมหรือไม่ 112 คนที่ละเมิด 112 ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ท่านไปโฆษณาให้เขารวมคนมาต่อต้านผม สนุกหรือ ท่านอาจจะไม่ตั้งใจ ผมรู้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ให้ท้ายคนเหล่านี้ แล้วถ้าเขียนไป เขาก็มากดดันผม ผมพยายามทำทุกอย่างให้เขายอมรับ ไม่ต้องยอมรับในตัวผม ผมบอกกับต่างประเทศเขา ไม่ต้องนึกถึงตัวผม แม้กระทั่ง บัน คีมูน ผมก็บอกว่าอย่าสนตัวผมได้หรือไม่ ผมขอเวลาผมอย่างนี้ ขณะเดียวกัน พวกเราก็ใส่ผมไปเรื่อยจนสิ่งที่ผมตั้งใจทำมาตลอดมันเหมือนผมทำความผิด อันเดียวที่ผมผิดแน่นอนผมยอมรับ ผมไม่ได้ฝืนอะไร แต่ผมทำถูกอีกพันอย่างจะว่าอย่างไร องคุลีมาล พระพุทธเจ้ายังให้อภัยเลย ผมไม่ใช่องคุลีมาลซักหน่อย ผมไม่ได้ไปตัดนิ้วใครถึง 1,000 นิ้วเสียหน่อย ทำไมถึงไม่ให้อภัยผม ผมตัดนิ้วร้ายไปนิ้วเดียว คิดแบบนี้ซิ”
เมื่อถามว่าที่จะไปร่วมประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์กนั้นจะมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรีตอบด้วยเสียงดังอย่างมีอารมณ์โมโหว่า “กลัวอะไร ก็พูดอยู่เมื่อกี๊ก็บอกเขาอย่าทำสิ แล้วมาถามผมกลัวไหม ผมไม่กลัวใครทั้งนั้นล่ะ”
ผู้สื่อข่าวจึงกล่าวกับนายกฯ ว่า ได้ถามว่าเตรียมตัวอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวก่อนจะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ว่า “ก็เตรียมตัวไปแสดงความคิดของผม ผมไม่ได้กลัวไอ้คนเฮงซวยแบบนั้น เข้าใจหรือยัง เธอเฮงซวยแบบเขาหรือเปล่า”