รายงานการเมือง
แย่งกันเหมือนอีแร้งรุมจิกซากศพ! สำหรับเก้าอี้ 200 สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทน อดีตสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 250 คน ที่ตายตกไปพร้อมกับ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญชุดของ “อ.ปื๊ด”บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หลังร่างรัฐธรรมนูญถูกทำแท้งโดย 135 สปช.
ท่ามกลางกระแสข่าวลือหนาหูว่า “แป๊ะ” สั่งให้คว่ำ เพราะยังไม่พร้อมจะไปเสี่ยงกับการทำประชามติ เนื่องจากคำนวณการแล้วว่าจะแพ้หลุดลุ่ย เอาเงินไปละลายน้ำฟรี ๆ 3 พันล้านบาท จนอาจกระทบเสถียรภาพอำนาจตัวเองได้
หลังออกมาส่งเสียงถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ขอเก้าอี้ให้ อดีต สปช. สัก 100 ที่นั่ง เพื่อมาสานงานปฏิรูปให้เสร็จ จนถูกคนนินทา หมาดูถูก ว่า เหมือนเป็นการนำใบเสร็จมาแลกรางวัล หลังปฏิบัติภารกิจคว่ำร่างรัฐธรรมนูญตามใบสั่งได้สำเร็จ เล่นบททวงสัญญาค่าคว่ำ ต้องมีเก้าอี้สภาขับเคลื่อนฯไว้รองก้น ไม่ให้ตกงาน อย่างน้อย ๆ ก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในชั้นประชามติ
เป็นที่น่าสมเพชเวทนาเสียเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้ ทำปฏิเสธกันหลังพิงฝาว่า ไม่มีใบสั่ง ไม่มีสัญญาณจาก “แป๊ะ” แต่ที่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ เพราะมีเหตุผลว่า ร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย และมีข้อบกพร่องมากมาย แต่ท้ายที่สุด พยานหลักฐาน โดยเฉพาะบัญชีสั่งคว่ำของคนที่จะรับคำสั่งว่อนออกมาก่อนวันโหวต แล้วต่อเนื่องมาถึงรายการทวงเก้าอี้สภาขับเคลื่อนฯ อมพระมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อน้ำคำว่า ครั้งนั้นไม่มีใบสั่งจาก“แป๊ะ” จุดธูปสาบานก็พาลจะทำให้เสียผู้เสียคนกันเปล่า ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองกันทั้งนั้น
การอ้างมาสานงานปฏิรูปต่อ น้ำหนักเบาเหมือนขนนก ย้อนกลับไปดูผลงานตัวเองสมัยเป็นสมาชิก สปช. เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากขายฝันไปวัน ๆ รูปธรรมไปนับมา มีกันกี่ชิ้น ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปพลังงาน ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสังคม ฯลฯ ทุกวันนี้ยังจ่อมจมกันอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใน สปช. มีไม่ถึง 10 คน ที่กล้าขัดใจแป๊ะ นอกนั้นพอแป๊ะไม่เอาแนวทาง เงียบกันเป็นเป่าสาก ไม่มีสักคนที่จะตีอกชกตัว เพราะกลัวจะถูกถีบลงจากเรือแป๊ะ
แล้วรอบนี้จะมาสานงานอะไร ? เพราะสภาขับเคลื่อนอย่างที่รู้กัน ขอบเขตอำนาจน้อยกว่า สปช. ด้วยซ้ำ เหตุผลการตั้งสภาขับเคลื่อนฯ ขึ้นมาก็เพราะ คสช. ต้องการคุมงานปฏิรูปเอง โดยจะแต่งตั้งคนที่มีแนวคิดเดียวกันเท่านั้น เพราะเห็นแล้วว่า การเอาเลือกโดยใช้ความหลากหลายเหมือน สปช. สุดท้ายตัวเองคุมไม่ได้ อย่างเรื่องปฏิรูปตำรวจ กับปฏิรูปพลังงาน ที่พอสวนทางแนวคิดรัฐบาลก็จับแช่แข็งทันที โดยแถว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องทุกทำเรื่องเหมือนที่ สปช. คิด
เอาเข้าจริงสภาขับเคลื่อนฯ จะเป็นเสมือนสภาไม้ประดับ มีขึ้นมาเพื่อรองรับเรื่องการปฏิรูป แต่ไม่ได้มีอำนาจในการปฏิรูปอย่างแท้จริง รอแค่รัฐบาลจะส่งสัญญาณให้ทำเรื่องอะไรเท่านั้น แล้วถ้าเอาคนหน้าเดิม ๆ ที่เคยเป็น สปช. มานั่งอีกร่วม 100 ชีวิต มันจะแตกต่างจากตอนเป็น สปช. อย่างไร คนก็เดิม งานก็เดิม แนวคิดก็เดิม ไม่ได้สร้างความคาดหวังได้เลยว่ามันจะดีกว่าเดิม เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่เสียมากกว่า เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่เท่านั้น
การแต่งตั้งสภาขับเคลื่อนฯ 200 คนหนนี้ เป็นอำนาจของ “บิ๊กตู่” คนเดียว ไม่ต้องมีการสรรหา หน้าตาออกมาเป็นอย่างไร ก็สะท้อนตัวตน “บิ๊กตู่” เอง
ถ้าปล่อยให้พวกนักคว่ำร่างรัฐธรรมนูญรับจ้างมานั่งเป็นสภาขับเคลื่อนฯ แบบพร้อมเพรียง จะเป็นใบเสร็จมัดตัวเลยว่า สัญญาแลกเปลี่ยนคะแนนคว่ำกับเก้าอี้สภาขับเคลื่อนฯ เป็นเรื่องจริง แล้วเป็นการตอกลิ่มว่า ตัว “บิ๊กตู่” เองก็รับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด รู้เห็นเป็นใจกับแป๊ะ ในการส่งสัญญาณไปยังสมาชิก สปช. ในช่วงที่ผ่านมา
ที่คนจับตารอดูหน้าตาของสภาขับเคลื่อนปฏิรูปฯ ไม่ใช่เพราะคนคาดหวังว่า 200 คนเหล่านี้ จะเก่งกล้าสามารถขนาดนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทยได้ แต่ทุกคนกำลังรอจับผิดว่า อดีตสมาชิก สปช. 135 คน จะได้เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนฯ กันกี่คน ถ้าพาเหรดกันมาเป็นโขยงแบบน่าเกลียด ต่อไปจะได้รู้ไส้รู้พุงกัน พวกนี้ถ้าไม่มีใบสั่ง ทำอะไรไม่เป็น เล่นกันได้แค่บทสุนัขรับใช้ ทุกอย่างให้ฟังแป๊ะพูดอย่างเดียวพอ
สิ่งที่จะให้สภาขับเคลื่อนฯ ปฏิรูปกัน ยังนึกไม่ออกว่า รัฐบาลจะให้รังสรรค์เรื่องอะไร เพราะครั้งที่แล้วสปช. เสนออะไรมารัฐบาลไม่ทำสักเรื่อง บางอย่างโยนให้รัฐบาลชุดหน้าดื้อ ๆ ทั้งที่ตัวเองมีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้ มีทางลัดอย่าง มาตรา 44 อำนวยความสะดวกให้ทำได้สารพัด ไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย แต่นิ่งเฉยเป็นตอไม้ ตอนนี้โรดแมป ขยับออกไปเป็น 20 เดือน เวลาเหลือเฟือพอให้หยิบจับอะไรได้หลายอย่าง หวังกันว่าจะได้เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมบ้าง
เรื่องปฏิรูปเป็นเหมือนคำลอยลม จนคนรู้สึกว่า จับต้องไม่ได้ มรรคผลหลายอย่างในหลายเรื่องยังไม่เกิด ทั้งที่ผ่านมานับปีกว่า แน่นอนปฏิรูปต้องแบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว แต่รัฐบาลเรียงลำดับเรื่องอย่างไรคนถึงไม่รู้สึกถึงเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างเรื่องตำรวจ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ออกมาทิ้งบอมบ์ก่อนเกษียณว่า ตม. มีการทำระยำตำบอนกันขนาดไหน ทำไมจึงใช้วิธีดีด หรือเด้งเจ้าหน้าที่
หลายเรื่องสำคัญถูกโยนขี้ไปให้รัฐบาลหลังจากนี้ ทั้งที่ไม่มีหลักประกันเลยว่า คนพวกนั้นจะปฏิบัติตามหรือไม่ ตลกร้ายกว่า หากไม่มีกลไกผูกมัดในทางกฎหมาย ไม่มีใครอยากหยิกเล็บเจ็บเนื้อแน่ หนำซ้ำหากเป็นขั้วตรงข้ามของรัฐบาลทหารเข้ามามีอำนาจ ไม่มีทางที่จะเอามรดกบาปหรือผลไม้พิษ จากคสช.ไปสานต่อ สุดท้ายการปฏิรูปจะล่ม และหายไปในที่สุด ชาวบ้านควรโทษ “บิ๊กตู่” ที่ไม่ยอมทำตอนมีอำนาจ หรือโทษรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ที่ไม่สานต่อดี
ถ้าไม่มีน้ำยาทำยุคนี้ เรื่องไหนเป็นเรื่องระยะยาว ต้องสร้างกลไกมัดเอาไว้เลย แกมบังคับสำหรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องสานต่อให้เสร็จ ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะเรื่องปฏิรูป เป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องมีขึ้น
ขณะที่ระยะสั้น ระยะเวลาที่มีเหลือมากพอจะทำอะไรให้เสร็จได้หลายเรื่อง ควรหยิบมาเป็นรูปธรรมมากกว่ามานั่งคิดแต่จะโยนไปให้คนโน้นคนนี้ !!!