“นายกรัฐมนตรี” เผยประชุมคณะกรรมการอำนวยการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ ทำความเข้าใจกับตัวแทนฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบว่าการพูดคุยถือเป็นวาระแห่งชาติ ระบุการพูดคุยในรัฐบาลนี้มีความก้าวหน้ามากขึ้น สนับสนุนแนวทางสันติวิธี ยืนยันยังไม่รับข้อเรียกร้องกลุ่มมาลาปาตานี ชี้ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันก่อน
วันนี้ (10 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 3/2558 ร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้เวลาประชุมกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นการรายงานความคืบหน้าการพูดคุยในครั้งที่ผ่านมาของคณะพูดคุยฝ่ายไทยและฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ โดยมีการทบทวนหลักการและเหตุผลในการพูดคุย การพูดคุยนั้นถือเป็นวาระแห่งชาติอยู่แล้ว ทั้งยังเป็น 1 ใน 9 ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหานี้ ดังนั้นเมื่อการพูดคุยถือเป็นวาระแห่งชาติ จึงไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นวาระแห่งชาติตามที่มีการเรียกร้อง แต่ต้องมีการทำความเข้าในกับตัวแทนฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบด้วย ส่วนอีกข้อเรียกร้องของกลุ่มมารา ปาตานีที่ต้องการให้เรารับรองชื่อกลุ่มนั้น จะต้องมีการพิสูจน์ความไว้วางใจกันให้ได้ก่อน เวลานี้ยังไม่จำเป็นที่ไทยจะต้องยกชื่อใครขึ้นมา เพราะต้องมองเจตนาของแต่ละฝ่าย รัฐบาลไทยมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างมาก ซึ่งหากอีกฝ่ายมีเจตนาแบบเดียวกันก็เป็นเรื่องดี
นายกฯ กล่าวว่า สิ่งที่ยังเป็นปัญหาพูดคุยกันไม่ได้ ก็ยังไม่ควรที่จะสานต่อ แม้กระทั่งการให้ข่าวตนอยากให้มีพูดคุยก่อน จากนั้นเมื่อได้ข้อตกลงจึงค่อยชี้แจงพร้อมกัน แต่เราไม่สามารถสั่งอย่างนั้นได้ แต่วันนี้ได้สั่งการว่าในเรื่องของหลักการและเหตุผลจะต้องพูดคุยกันต่อไป ไม่ว่าผลตอรับจะสำเร็จช้าหรือเร็ว แต่คือการแก้ปัญหาในเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งต้องทำเพราะเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก การพูดคุยใช่ว่าจะสัมฤทธิผลโดยเร็ว เนื่องจากว่ามีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่มีศักยภาพมากและมีศักยภาพน้อย บางเรื่องยังไม่เป็นที่ยอมรับกันภายในกลุ่มของตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องไปสร้างการยอมรับภายในกลุ่มให้ได้เสียก่อน ส่วนกลุ่มที่ยังไม่ร่วมพูดคุยต้องค่อยๆ พูดคุยกันไป เพราะถ้าทั้งหมดเข้ามาพูดคุยจะไม่มีกลุ่มใดเพิ่มศักยภาพของตนเองขึ้นมา วันนี้หลายกลุ่มได้พยายามยกระดับของตนเองให้มีความเท่าเทียมกัน ตนอยากเรียกเรื่องดังกล่าวว่าเป็นการต่อสู้ทางความคิด ซึ่งมีกำลังในการเสริมให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ต้องหลีกเลี่ยงคำพูดที่สุ่มเสี่ยงระหว่างกัน จึงต้องมีผู้อำนวยความสะดวกคือประเทศมาเลเซีย นั่นแสดงให้เห็นว่าการพูดคุยในรัฐบาลนี้มีความก้าวหน้ามากขึ้น ขณะเดียวกันหลายประเทศต่างให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และประเทศมุสลิมก็ระบุว่าเห็นใจรัฐบาลมีความพึงพอใจในการแก้ไขปัญหา อาเซียนเองก็สนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี อย่างไรก็ตาม 3 ข้อเรียกร้องของเครือข่ายมาราปาตานี ตนได้ให้คำตอบกลับไปโดยต้องทำความเข้าใจกันใหม่ แต่หากยังไม่เข้าใจกันก็ไม่เป็นไร ต้องพูดเรื่องอื่นๆ ที่สามารถทำได้ไปก่อน โดยระยะแรก เป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ สร้างเอกภาพของแต่ละฝ่ายยืนยันรัฐบาลเป็นเอกภาพอยู่แล้ว เพราะตนเป็นนายกฯ ดูแลทั้ง กอ.รมน., ศอ.บต.จึงถามว่าอีกฝ่ายเป็นเอกภาพแล้วหรือยัง หากยังไม่เป็นต้องไปสร้างแล้วอย่ามาใช้ความรุนแรงกดดันเรา ส่วนระยะที่ 2 เมื่อเกิดความเชื่อใจกันแล้วก็ต้องหาโจทย์ของแต่ละกลุ่มให้เจอ เช่น การลดความรุนแรง กฎหมายกระบวนการยุติธรรม การพัฒนา ศูนย์วัฒนธรรมของชาวมุสลิมที่อยากให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
เมื่อถามว่า 3 ประเด็นที่กลุ่มมาราปาตานีเสนอมานั้น รัฐบาลไม่รับใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยัง “และอย่ามากดดันผมให้รับ” จากนั้นนายกฯ ย้อนถามสื่อว่า “ท่านรับกับเขาหรือไม่ ถ้ารับแล้วเกิดเหตุการณ์ขึ้น ท่านรับผิดชอบได้ไหม เข้าใจผมตรงนี้บ้างสิ นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จะพูดอะไรตัดสินใจอะไร เสนอข่าวอะไร ระวังด้วย เพราะเป็นเรื่องที่ล่อแหลมละเอียดอ่อน ดังนั้นจึงต้องหาวิธีการสร้างความเข้าใจ ถ้าไม่ได้อย่างนี้จะไปอย่างไร เขาเรียกว่าต่อรอง”
เมื่อถามว่าจะสนับสนุนแนวทางการพิสูจน์ตนเองด้วยการจัดพื้นที่ปลอดภัยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนเป็นคนกำหนดไปเอง ซึ่งได้สั่งการและตีกรอบ เมื่อฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เสนอแนวทางต่างๆ เข้ามาตนเอามาดูแล้วสั่งการ ตนเป็นนายกฯ ต้องรู้ทุกเรื่อง หากไม่อนุมัติแล้วจะดำเนินการได้อย่างไร
เมื่อถามว่า ประเมินว่าการเจรจาที่ผ่านมาของผู้ก่อเหตุเป็นความต้องการลดความรุนแรงจริงๆ หรือเพื่อการต่อรอง นายกฯ กล่าวว่า อย่างเพิ่งแสดงความเห็นว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยเขาได้แสดงเจตนารมณ์เข้ามาพูดคุย ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาระดับหนึ่ง ต่อไปอยู่ที่ขั้นตอนของการสร้างความเข้าใจเอาปัญหามาเจอกันซึ่งขั้นตอนต่างๆ ต้องไม่ผลีผลาม จะตบปากรับคำกันเลยคงไม่ได้ อีกฝ่ายก็รับคำเราเลยไม่ได้ เราเองก็รับปากเขาเลยยิ่งไม่ได้ แต่อะไรที่รับได้เราจะรับ เช่น เรื่องที่จะเกิดความสงบปลอดภัย แต่อย่ามากดดันกันเอง ตนไม่ได้กดดันอีกฝ่าย ตนทำเพื่อประชาชน ถามว่าฝั่งโน้นทำเพื่อประชาชนหรือไม่
เมื่อถามว่าจะสานต่อการพูดคุยต่อไปใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า มีสิ ถึงชาติหน้าโน้นถ้ายังไม่จบก็จะคุยกันถึงชาติหน้า อย่างไรก็ตามการพูดคุยตนได้กำหนดประเด็นไปแล้ว
“ถ้าผมทำงานกับคนของผมก็คงจบกันแค่นี้ แต่นี่เขาไม่ใช่คนของผม เขาเป็นฝ่ายตรงข้ามมีการใช้อาวุธ และความรุนแรง ผมจะไปกำหนดอะไรเขาได้ เว้นแต่เขาจะมาด้วยใจ แต่ผมก็มีกรอบมาตรการที่เตรียมไว้ให้ เช่น กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม เตรียมไว้หมดแล้ว มีเครื่องมือและหลักการไว้แล้ว ก็อยู่ที่กระบวนการและการแสดงความจริงใจต่อกัน หากจริงใจก็จบต้องไม่สร้างปัญหาใหม่ แก้ไขปัญหาเก่า แต่วันนี้ที่ไม่จบเพราะสร้างปัญหาใหม่ทุกวันๆ ก็ไม่จบสักเรื่อง กี่ชาติก็ไม่จบ ทุกเรื่องเลย” นายกฯ กล่าว