รายงานการเมือง
ไม่ใช่แค่เรื่องมโน หรือแค่การสร้างข่าวลือกระพือข่าวเท็จ! สำหรับสัญญาณลับก่อนหน้านี้ว่า มีทีมงานผู้มากบารมีส่งซิกให้บรรดาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนางงามของ “อ.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสมาชิก 35 คน ให้ตายทั้งกลม ไม่ต้องลากยาวไปวัดใจกันในชั้นประชามติ หลังที่ประชุม สปช.มีมติ 135 ต่อ 105 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง แบบที่ไม่กี่วันก่อนหน้าผู้ไม่เห็นด้วยยังมีเสียงไม่ถึงครึ่งร้อยเสียด้วยซ้ำ
คะแนนของผู้จ้องจะคว่ำจะไม่แรงเป็นม้าตีนปลายแบบนี้ หากไม่มีสัญญาณพิเศษจากใครบางคนหลิ่วตาให้ทำ
โดยเฉพาะเมื่อเปิดรายชื่อสมาชิก สปช.ที่โหวตคว่ำ ล้วนเต็มไปด้วยนายทหาร ข้าราชการ นักวิชาการ และสายจังหวัด ชนิดที่ทหารไม่มีการแตกแถวเลยสักคน ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีต รมช.กลาโหม ยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือคนที่มีความเคลื่อนไหวหวือหวาใน สปช. ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่าง “เสธ.เอ็กซ์” พล.ท.ฐิติวัจน์ กำลังเอก มืองาน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ยกมือทำแท้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แม้แต่นายทหารที่เป็น กมธ.ยกร่างฯ ยังกล้างดออกเสียง
เป็นปฏิบัติการลับลวงพรางอีกครั้งของเหล่าท็อปบูต และตอกย้ำอีกครั้งว่าอย่าเห็นว่าทหารไม่ลึกซึ้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีอะไรเหนือความคาดหมาย อย่าคิดว่าทหารเล่นการเมืองไม่เนียน ที่ผ่านมาทำให้ตายใจกันมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ตั้งแต่การล่อให้นักการเมืองเข้ามาติดเบ็ด และยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดี แบบที่ไม่มีใครตะขิดตะขวงใจมาก่อน
หรือการตั้ง สปช.ขึ้นมาหวังว่าให้ทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศ แต่ไม่สามารถกุมความเป็นเอกภาพได้ ข้อเสนอหลายอย่างไม่ตรงธงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีไว้ เลยซุ่มเงียบลักไก่ตอนแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อเปิดให้มีการทำประชามติ ด้วยการสั่งยุบ สปช.ทิ้งหลังโหวตร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ทำเอาหลายคนช็อกตาตั้งมาแล้ว
แล้วยิ่งหนนี้มีข่าวว่า ก่อนหน้าจะถึงวันโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ ลือหนาหูว่า “อ.ปื๊ด” และ “เสธ.อู้” พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างฯ ดอดไปพบพี่ใหญ่ของผู้มีอำนาจ เพื่อถามหาความชัดเจนก่อนจะได้รับคำมั่นสัญญากลับมาว่าจะไฟเขียวให้ผ่าน แต่ขณะเดียวกัน กลับมีข่าวออกมาจากอีกฝั่งว่า “เสธ.เอ็กซ์” ก็ดอดไปพบเหมือนกัน และได้วลีสั้นๆ กลับมาเช่นเดียวกันว่า “แล้วแต่พวกแก”
ไม่รู้ว่าใครโกหก และสัญญาณใครจริง ใครปลอม
แต่เมื่อผลโหวตออกมาในลักษณะนายทหารเรียงแถวเป็นเอกภาพตะโกนไม่เห็นชอบ นั่นอาจเป็นการตอกย้ำว่า คำมั่นต่อ กมธ.ยกร่างฯ เป็นเพียงลมปาก เป็นละครฉากหนึ่งเพื่อทำให้ใครบางคนตายใจ สีหน้าการแถลงข่าวของ “อ.ปื๊ด” หลังผลโหวตออกมาแล้วว่า ไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ อีก สะท้อนถึงอาการ “กระอักเลือด อุจจาระหักใน” เสมือนถูกใครบางคนหลอกใช้ ก็ไม่ปาน เป็นอาการช้ำในขั้นโคม่า ด้วยฐานะนักกฎหมายลำดับต้นๆ ของประเทศ แต่ไม่มีน้ำยาเขียนกฎหมายให้คนยอมรับได้!
แฝดอิน-จันที่ต้องตายตกไปตามกัน ทั้ง กมธ.ยกร่างฯ และ สปช. มีคำถามตามมามากมายว่า ที่ต้องหมดสภาพลาโรงไป แท้จริงแล้วไปเพราะเหตุผลที่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญสุดโต่ง จนคนรับไม่ได้ หรือแท้จริงต้องไปเพราะเหตุผลอย่างอื่นของใครบางคนที่มากกว่าเนื้อหา ซึ่งคงไม่มีใครรับรู้ความรู้สึกนั้นได้ดีเท่า “อ.ปื๊ด” และทีมงาน กมธ.ยกร่างฯ
ว่ากันตามจริง คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) เอง ก็เป็นความต้องการของรัฐบาล และ คสช. ที่อยากให้มีใครมารับผิดชอบในช่วงเปลี่ยนผ่าน บริบทของ “อ.ปื๊ด” ก็เป็นเพียงแค่เนติบริกร ที่ทำหน้าที่เขียนกฎหมายให้ตามเป้าประสงค์ และเจตนารมณ์เท่านั้น แต่เมื่อให้เขียนแล้ว ตอนจบกลับมาโดนทิ้งไว้กลางทาง ก็แทบไม่ต่างอะไรจากการเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เป็นการตอกลิ่มให้เห็นว่า ทหารนั้นเยือกเย็นกว่าที่ใครหลายคนคิด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น “บวรศักดิ์” ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่มีการยัดไส้ คปป. เข้ามา แบไต๋ คสช. กันชัด ๆ หวังสืบทอดอำนาจแบบโจ๋งครึ่ม เล่นเอา “ปื๊ดถึงกับปรี๊ด” จำใจเขียนไป แต่มีการหักลำแปรสัญญาณให้บิดพลิ้วไป จน คสช.ควันออกหู สั่งโละทิ้ง สปช.แบบล้างบาง ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว
นั่นคือเบื้องหลังการสั่งปิดฉาก งานนี้ “บวรศักดิ์” มีแต่เสียกับเสียจนหมดตูด!
จับท่าทีของ คสช.ที่ตีธงแดงให้ร่างรัฐธรรมนูญคราวนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยาของพรรคการเมืองทุกพรรคที่ออกมาสหบาทาไม่รับร่างรัฐธรรมนูญด้วยเหมือนกัน เพราะการตัดสินใจให้ไปวัดกันวันทำประชามติ จะไม่ต่างอะไรกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ผลาญเงินกว่า 3 พันล้านบาทไปฟรีๆ เพราะไม่มีทางที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะผ่านความเห็นของประชาชนที่ถูกพรรคการเมืองหลอกล่อ และโน้มน้าวให้คว่ำทิ้งได้
ขณะเดียวกัน การปราชัยในชั้นการทำประชามติ แม้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวจะทำให้ คสช. นั่งบริหารประเทศอยู่ไปบนคานอำนาจได้อีกยาวๆ เหมือนจะดี แต่ในสถานการณ์ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น การพ่ายแพ้ในการทำประชามติ ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาล และ คสช.ต้องพ่ายแพ้ เพราะการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ที่เต็มไปด้วยเจตนารมณ์ของ คสช.ต้องมีคนแปรสัญญาณว่าประชาชนปฏิเสธการอยู่ต่อของ คสช. ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ก็คือพรรคเผาไทย และเครือข่ายแดงเผาเมือง
การคว่ำมันเสียตั้งแต่ในชั้น สปช.จึงเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และเป็นการฉวยโอกาสอยู่ยืดได้อย่างสง่างามขึ้นมาอีกนิด แม้จะต้องดัดหลังใครหรือใครจะต้องกระอักเลือดบ้างก็ตาม
แต่เชื่อเหลือเกินว่า ต่อให้ตัดสินใจคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในชั้นนี้ เพื่อตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 21 คน ขึ้นมาร่างใหม่ ภายในระยะเวลา 180 วัน หรือ 6 เดือน ก็ไม่ได้หมายความว่า องค์กรลักษณะเดียวกับ “คปป.” จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะจุดมุ่งหมายจริง ๆ ทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” นั้น ต้องการให้มีองค์กร หรือคณะกรรมการใดคณะกรรมการหนึ่งขึ้นมาดูแลรับผิดชอบในช่วงเปลี่ยนผ่านคือ ระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้ เพราะไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่ครั้งนี้ที่ต้องคว่ำไปก่อน เพราะจับกระแสแล้วได้ไม่คุ้มเสีย ถ้าฝืนลุยไฟไป ฉะนั้น ครั้งหน้าคงต้องปรับจูนรูปแบบใหม่ “คปป.” อาจกลายพันธุ์ไปเป็นอะไรสักอย่าง คิดในแง่ดี ประนีประนอม น่าจะต้องลดเพดานอำนาจลงมาจนพรรคการเมืองต่าง ๆ พอจะรับได้ เหมือนพบกันครึ่งทาง เพราะพรรคการเมือง ก็อยากเลือกตั้งกันเต็มแก่อยู่แล้ว
แต่ถ้าคิดในแง่ไม่ค่อยจะดี คณะกรรมการที่คนนินทาว่าจะมาสืบทอดอำนาจ คงมีอำนาจไม่ลดน้อยถอยลงไปกว่า คปป.ที่ถูกวิจารณ์กันลั่นเมือง เพราะอำนาจการควบคุมลักษณะนี้ มันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดเหนือเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น
ลงทุนยึดอำนาจมาแล้ว จะคืนอำนาจให้หมดเลยทันทีมันก็ใช่ที่ ไหนจะเรื่องการโดนย้อนศรเอาผิด ไหนจะเรื่องการถูกกดทับกลับคืน โยกย้ายล้างบาง บั่นทอนขุมกำลัง อย่างอื่นอีกจิปาถะ
ประชาธิปไตยไทยจึงไม่ค่อยพัฒนาไปไหน เพราะพวกหวงอำนาจ ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง คงไม่มีวันเสียหรอกที่ประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยเต็มใบ เพราะความคิดยังล้าหลัง จมไม่ลง ปลงไม่ได้
อนิจจาประเทศไทย ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ ถึงจะหลุดพ้น...