แบงก์ชาติจีน ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน หรือ พีบีโอซี ( PBOC – People Bank of China) ประกาศ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินหยวนต่อ เงินดอลลาร์ สหรัฐ ประจำวันอังคารที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา เท่ากับ 6.2298 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ สหรัฐฯ ลดลงจากอัตราแลกเปลี่ยนของวัน จันทร์ ที่ 10 สิงหาคม 1.9 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นการลดค่าเงินหยวนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี
วันรุ่งขึ้น แบงก์ชาติจีน ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลเป็นการลดค่าเงินครั้งที่ 2 โดยให้ค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์ เท่ากับ 6.3306 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์
วันต่อมา อัตราค่าเงินหยวนตามประกาศของแบงกก์ชาติจีน ลดลงไปอีก เหลือ 6.4010 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์
การประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน / ดอลลาร์ ประจำวัน หรือ ที่เรียกว่า ราคา กลาง ( midprice /fix price) เป็นวิธีการบริหารค่าเงินหยวนของแบงก์ชาติจีน โดยมีเพดานให้ราคาในตลาดขึ้นลงจากอัตรากลางได้ไม่เกิน 2 % ที่ผ่านมา แบงก์ชาติจีน ใช้ราคากลางนี้ เป็นเครื่องมือในการป้องกันความผันผวนของค่าเงิน โดยไม่ให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ถ้า วันนี้ การซื้อขายในตลาด ค่าเงินหยวนปรับตัวอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ วันรุ่งขึ้น แบงก์ชาติจะตั้งราคากลาง โดยให้ค่าเงินหยวน แข็งกว่าดอลลาร์ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มตลาด
การประกาศราคากลาง หยวน/ดอลลาร์ ในวันที่ 12 -13 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดค่าเงินเป็นวันที่ สอง และวันทีสามติดต่อกัน เป็นไปตามแถลงการณ์ของแบงก์ชาติจีน เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ว่า ต่อไปนี้ การกำหนดราคากลาง ของเงินหยวน จะอิงกับตลาดซื้อขายเงินตรามากขึ้น
นักลงทุนเทขายเงินหยวนอย่างหนัก หลังมีประกาศลดค่าเงิน อย่างไรก็ตาม แบงก์ชาติจีนยังคงเพดานการขึ้นลง 2% เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินหยวนตกแบบดิ่งพสุธา และเข้าแทรกแซงค่าเงินหยวน ด้วยการสั่งขายดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านธนาคารของรัฐ เพื่อค่อยๆ ประคับประคองค่าเงินหยวนให้ลดลงมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าจะอยู่ในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นเท่าไร ยังไม่มีใครรู้แน่
การลดค่าเงินหยวนครั้งนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเร็วเหนือความคาดหมาย เพราะไม่กี่เดือนมานี้เอง ผู้บริหารระดับสุงของแบงก์ชาติจีน ยังยืนยันว่า จีนไม่จำเป็นต้องลดค่าเงินหยวน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
การประกาศลดค่าเงินหยวน มีขึ้นหลังจากตัวเลขการส่งออกในเดือนกรกฎาคม ตกต่ำเกินคาด คือ ลดลงจากเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว ถึง 8.3 % สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่า จะลดลงเพียง 1.5 % ในขณะที่ ตลาดหุ้นจีน ก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนใช้มาตรการทุกอย่าง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่า จะเป็นการลดดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง การอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่น ขายพันธบัตรเพื่อหาเงินมาชำระหนี้ โดยแบงก์ชาติจีน ปล่อยกู้ให้ธนาคราของรัฐ มาซื้อพันธบัตรเหล่านี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลอื่นๆ แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 7 % ในปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบ 25 ปี
การส่งออก เป็นเครื่องจักรตัวสุดท้าย ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขล่าสุด แทบจะดับความหวังของจีน
เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และค่าเงินหยวนที่แข็งขึ้นประมาณ 10 % เทียบกับเงินสกุลเอเชียอื่นๆ ทำให้การส่งออกของจีน มีปัญหา การลดค่าเงินหยวนครั้งนี้ จีนหวังว่า จะทำให้ความสามารถในการแข่งขัน ในตลาดส่งออกของตนดีขึ้น
ในขณะเดียวกัน ค่าเงินที่สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และการกำหนดราคากลาง ของอัตราแลกเปบี่ยน หยวน/ดอลลาร์ ประจำวัน ให้สะท้อนความเคลื่อนไหวของตลาดมากขึ้น ก็มีเป้าหมายเพื่อให้ เงินหยวน ได้รับความเห็นชอบ จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ให้เป็น สกุล เงินทุนสำรอง ในตระกร้าเงิน ที่ประเทศสมาชิกใช้ชำระหนี้ได้ นอกเหนือจาก เงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ เงินเยน เงินยูโร และปอนด์สเตอลิงของอังกฤษ ซึ่งเป็นเงินทุนสำรองของไอเอ็มเอฟในปัจจุบัน
ไอเอ็มเอฟ มีกำหนดจะพิจารณาว่า จะอนุมัติให้เงินหยวนเป็นเงินทุนสำรองหรือไม่ ในปลายปีนี้
การลดค่าเงินหยวนในครั้งนี้ ในสายตานักวิเคราะห์ จึงเป็นการยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว คือ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว ด้วยการส่งออก ที่จะสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น จากค่าเงินหยวนที่ถูกลง และเพื่อให้เงินหยวน โกอินเตอร์ ได้รับการยอมรับจากไอเอ็มเอฟ ให้เป็นเงินสำรองสกุลหลัก สกุลที่ ห้าของโลก
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังทั้งสองเรื่องนี้ จะเป็นจริงหรือไม่ หรือว่า จะส่งผลในด้านกลับ คือ ค่าเงินหยวนตกแบบเอาไม่อยู่ จนกระทบต่อการลงทุน เป็นสิ่งที่จะได้เห็นกันในเร็ววันนี้
วันรุ่งขึ้น แบงก์ชาติจีน ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลเป็นการลดค่าเงินครั้งที่ 2 โดยให้ค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์ เท่ากับ 6.3306 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์
วันต่อมา อัตราค่าเงินหยวนตามประกาศของแบงกก์ชาติจีน ลดลงไปอีก เหลือ 6.4010 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์
การประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน / ดอลลาร์ ประจำวัน หรือ ที่เรียกว่า ราคา กลาง ( midprice /fix price) เป็นวิธีการบริหารค่าเงินหยวนของแบงก์ชาติจีน โดยมีเพดานให้ราคาในตลาดขึ้นลงจากอัตรากลางได้ไม่เกิน 2 % ที่ผ่านมา แบงก์ชาติจีน ใช้ราคากลางนี้ เป็นเครื่องมือในการป้องกันความผันผวนของค่าเงิน โดยไม่ให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ถ้า วันนี้ การซื้อขายในตลาด ค่าเงินหยวนปรับตัวอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ วันรุ่งขึ้น แบงก์ชาติจะตั้งราคากลาง โดยให้ค่าเงินหยวน แข็งกว่าดอลลาร์ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มตลาด
การประกาศราคากลาง หยวน/ดอลลาร์ ในวันที่ 12 -13 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดค่าเงินเป็นวันที่ สอง และวันทีสามติดต่อกัน เป็นไปตามแถลงการณ์ของแบงก์ชาติจีน เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ว่า ต่อไปนี้ การกำหนดราคากลาง ของเงินหยวน จะอิงกับตลาดซื้อขายเงินตรามากขึ้น
นักลงทุนเทขายเงินหยวนอย่างหนัก หลังมีประกาศลดค่าเงิน อย่างไรก็ตาม แบงก์ชาติจีนยังคงเพดานการขึ้นลง 2% เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินหยวนตกแบบดิ่งพสุธา และเข้าแทรกแซงค่าเงินหยวน ด้วยการสั่งขายดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านธนาคารของรัฐ เพื่อค่อยๆ ประคับประคองค่าเงินหยวนให้ลดลงมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าจะอยู่ในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นเท่าไร ยังไม่มีใครรู้แน่
การลดค่าเงินหยวนครั้งนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเร็วเหนือความคาดหมาย เพราะไม่กี่เดือนมานี้เอง ผู้บริหารระดับสุงของแบงก์ชาติจีน ยังยืนยันว่า จีนไม่จำเป็นต้องลดค่าเงินหยวน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
การประกาศลดค่าเงินหยวน มีขึ้นหลังจากตัวเลขการส่งออกในเดือนกรกฎาคม ตกต่ำเกินคาด คือ ลดลงจากเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว ถึง 8.3 % สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่า จะลดลงเพียง 1.5 % ในขณะที่ ตลาดหุ้นจีน ก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนใช้มาตรการทุกอย่าง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่า จะเป็นการลดดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง การอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่น ขายพันธบัตรเพื่อหาเงินมาชำระหนี้ โดยแบงก์ชาติจีน ปล่อยกู้ให้ธนาคราของรัฐ มาซื้อพันธบัตรเหล่านี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลอื่นๆ แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 7 % ในปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบ 25 ปี
การส่งออก เป็นเครื่องจักรตัวสุดท้าย ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขล่าสุด แทบจะดับความหวังของจีน
เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และค่าเงินหยวนที่แข็งขึ้นประมาณ 10 % เทียบกับเงินสกุลเอเชียอื่นๆ ทำให้การส่งออกของจีน มีปัญหา การลดค่าเงินหยวนครั้งนี้ จีนหวังว่า จะทำให้ความสามารถในการแข่งขัน ในตลาดส่งออกของตนดีขึ้น
ในขณะเดียวกัน ค่าเงินที่สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และการกำหนดราคากลาง ของอัตราแลกเปบี่ยน หยวน/ดอลลาร์ ประจำวัน ให้สะท้อนความเคลื่อนไหวของตลาดมากขึ้น ก็มีเป้าหมายเพื่อให้ เงินหยวน ได้รับความเห็นชอบ จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ให้เป็น สกุล เงินทุนสำรอง ในตระกร้าเงิน ที่ประเทศสมาชิกใช้ชำระหนี้ได้ นอกเหนือจาก เงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ เงินเยน เงินยูโร และปอนด์สเตอลิงของอังกฤษ ซึ่งเป็นเงินทุนสำรองของไอเอ็มเอฟในปัจจุบัน
ไอเอ็มเอฟ มีกำหนดจะพิจารณาว่า จะอนุมัติให้เงินหยวนเป็นเงินทุนสำรองหรือไม่ ในปลายปีนี้
การลดค่าเงินหยวนในครั้งนี้ ในสายตานักวิเคราะห์ จึงเป็นการยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว คือ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว ด้วยการส่งออก ที่จะสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น จากค่าเงินหยวนที่ถูกลง และเพื่อให้เงินหยวน โกอินเตอร์ ได้รับการยอมรับจากไอเอ็มเอฟ ให้เป็นเงินสำรองสกุลหลัก สกุลที่ ห้าของโลก
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังทั้งสองเรื่องนี้ จะเป็นจริงหรือไม่ หรือว่า จะส่งผลในด้านกลับ คือ ค่าเงินหยวนตกแบบเอาไม่อยู่ จนกระทบต่อการลงทุน เป็นสิ่งที่จะได้เห็นกันในเร็ววันนี้