“เลขาฯ กฤษฎีกา” ตอกหน้า “บิ๊กอ๊อด” ไม่รับพิจารณารอบ 3 ปม “ถอดยศแม้ว” ย้ำตอบไปแล้ว 2 รอบ แม้ สตช.จะส่งจดหมายขอความเห็นอีกรอบ ชี้รอฟัง “บิ๊กต๊อก” ตัดสิน ยันเป็นกฎหมายข้อมูลข่าวสารจึงไม่มีหน้าที่ตอบแล้ว ด้าน “คุณหนูโอ๊ค” แขวะ! ให้รีบทำ เหน็บประเทศชาติบ้านเมืองจะดีขึ้นก็ทำไปเถอะ ด้านเลขาฯ สมช.ไม่เชื่อถอดยศแล้ววุ่นวาย ชี้เป็นหลักกติกา
วันนี้ (11 ส.ค.) มีรายงานว่า นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นต่อกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ขอความเห็นเกี่ยวกับการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ที่ผ่านมา สตช.เคยมีการขอความเห็นเรื่องดังกล่าวมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นสิ่งที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบไปแล้ว
ส่วนที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ส่งมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาล่าสุดนั้น เลขาธิการกฤษฎีกากล่าวว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกฎหมายข้อมูลข่าวสารซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ตนจึงไม่ได้รับพิจารณา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อยากให้รอฟังการประชุม ที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธานในวันเดียวกันนี้ เพราะจะเป็นผู้พิจารณา
มีรายงานว่า กรณีนี้ พล.ต.อ.สมยศได้ทำบันทึกถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อซักถามในข้อคิดเห็นหรือข้อกฎหมาย เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และที่ผ่านมา สตช.ได้ทำหนังสือหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาถึง 2 ครั้ง เกี่ยวกับการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคำตอบว่า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอำนาจดำเนินการได้”
ขณะที่วานนี้ (10 ส.ค.) พล.ต.อ.สมยศระบุว่าจะนำแต่ละเรื่องมาเทียบเคียงกันไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อีกทั้งไม่ใช่เรื่องที่ใช้กฎหมายตัวเดียวกัน สำหรับเรื่องของการถอดยศตำรวจนั้นจะต้องนำระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 มาพิจารณาว่าระเบียบนั้นสามารถนำมาบังคับใช้ได้หรือไม่กับกรณีนี้ หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาบอกว่าสามารถนำมาใช้ได้ก็ตอบมา
ดังนั้น เหตุผลที่ ตร.ส่งเรื่องไปให้กฤษฎีกาตีความก็เพื่อความรอบคอบและไม่ให้เกิดข้อถกเถียงในประเด็นข้อกฎหมายเพราะอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง เพราะก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจและอดีต ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงตน จึงต้องนำประเด็นเหล่านี้มาพิจารณาอีกครั้ง จะเพิกเฉยไม่ได้ เพราะอาจเป็นความผิดของ ตร.ได้ และในเมื่อ ตร.ไม่มั่นใจในข้อกฎหมายจึงต้องส่งเรื่องให้กฤษฎีกาดังกล่าว
ช่วงเช้า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์เพจเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นกรณีการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ข้อความว่า
“ถอดยศ ทักษิณ ถ้าคิดว่าทำแล้ว ประเทศชาติบ้านเมืองจะดีขึ้น ก็ทำไปเถอะครับ..!! รีบๆ ทำ รีบๆ ถอด ซะให้เสร็จๆ จะได้เอาเวลาที่เหลือไปทำประโยชน์ ช่วยเหลือชาวบ้านที่เขายังลำบาก ยังต้องปากกัดตีนถีบ รอความหวังจากรัฐบาลกันอยู่
อำนาจทุกอย่างก็อยู่ในมือ กฎหมายมาตราพิเศษ ก็มีใช้มากกว่ารัฐบาลอื่นๆ แต้มต่อมีเยอะขนาดนี้ ประเทศชาติน่าที่จะพัฒนา ประชาชนน่าที่จะสบายกว่านี้หลายเท่าตัว แต่ปัจจุบันกลับมีเสียงบ่น ข้าวยากหมากแพง เงินเดือนไม่พอจ่าย มีปัญหาหนี้สิน ถูกปลดจากงาน เดี๋ยวน้ำแล้งห้ามทำการเกษตร เดี๋ยวน้ำท่วม ปัญหาอื่นๆ อีกร้อยแปดพันเก้า เดือดร้อนกันไปหมดทุกหย่อมหญ้า
อำนาจต่างๆ ที่มีอยู่ล้นมือ น่าจะเอาไปใช้กับเรื่องหลักๆ ที่ประชาชนเขาเดือดร้อนน่าจะดีกว่านะครับ แก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ให้หมดไป ปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก ควบคุมราคาสินค้า ขจัดปัญหาพ่อค้าคนกลางที่เอาเปรียบคนจน ปัญหาหลักอื่นๆ ที่ควรจะแก้ไขอีกตั้งเยอะแยะ หากแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คนน่าจะชื่นชมมากกว่า สิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่
นโยบายที่ผ่านมาเห็นแต่เน้นจะลงทุน โครงการขนาดใหญ่หลายแสนล้าน เดี๋ยวก็จะจัดซื้ออาวุธ เดี๋ยวก็จะซื้อเรือดำน้ำ เปิดบ่อนกาสิโนดีหรือไม่ดี ลอตเตอรี่ต้องขาย 80 บาท จนคนขายกลับไปอยู่บ้านนอกเกือบครึ่ง เพราะเดินขายไปก็ไม่คุ้ม ตรวจสอบเขาใหญ่มีกระทำผิดอยู่ไม่กี่ที่ แต่ที่เหลืออีกร้อยโครงการเจ๊งหมด ไม่มีใครกล้าซื้อ เสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่อาจล้มตามกันเป็นลูกระนาด วันดีคืนดีขุดเอาเรื่องถอดยศมาอีก ทำแต่เรื่องพวกนี้ แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน จะดีขึ้นได้อย่างไร
ผมเชื่อว่าเรื่องถอดยศ คุณพ่อผมน่าจะเฉยๆ นะครับ มียศก็ได้ ไม่มีก็ไม่แปลก ผมจำได้ว่าเคยมีคนตั้งเรื่องจะขอพระราชทาน ยศชั้นนายพลตำรวจให้กับคุณพ่อผม ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมือง เมื่อทราบคุณพ่อผมรีบเบรกเรื่องทันที เพราะไม่อยากจะให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ที่จะต้องทรงพิจารณาในการจะทรงลงพระปรมาภิไธย
คนเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว เดินทางไปทุกประเทศทั่วโลก คนเขาก็ยอมรับนับถือ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ที่นำนโยบายดีๆ มาใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงการรักษาพยาบาล หรือการเปิดโอกาสให้คนยากคนจนได้ลืมตาอ้าปาก และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มีใครมานับถือในการเคยเป็นนายตำรวจ ยศพันตำรวจโทเมื่อ 30 ปีที่แล้วหรอกครับ
ถ้าเลือกได้ผมเชื่อว่า เวลานี้คุณพ่อผมน่าจะเลือก ที่จะใช้ชีวิตเป็นนายทักษิณที่สามารถใช้ชีวิตอบอุ่น อยู่กับครอบครัวและลูกหลาน ได้อย่างปกติสุขอย่างคนทั่วไปมากกว่า ที่จะต้องมาผจญวิบากกรรม จากกระบวนการยุติธรรม ที่ตั้งเรื่องมาจากองค์กรอิสระที่บิดเบี้ยว และคณะตรวจสอบที่ผู้กระทำรัฐประหารครั้งก่อนนู้น ตั้งขึ้นโดยมีธงเพื่อมาไล่บี้เอาผิดกันโดยเฉพาะ
การปรองดองของคนในชาติ จะต้องเริ่มต้นจากการเยียวยา และให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกระทำเท่านั้น ใช้วิธีอื่นไม่มีวันสำเร็จครับ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) มีกระแสข่าวจากคนใกล้ชิดระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้สึกปลงแล้วในเรื่องลาภยศต่างๆ ซึ่งตัวท่านเองยืนยันว่าหากจะถอดจริงก็ไม่รู้สึกแปลกอะไร เพราะตนเองถูกดำเนินการเรื่องนี้มาตลอดในหลายรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยลงทุนจ้างล็อบบี้ยิสต์ต่างประเทศดำเนินการไม่ให้ต่างประเทศออกหนังสือเดินทางให้ อย่างไรก็ตาม หากจะดำเนินการถอดยศจริงก็ไม่ใช่เรื่องยาก หรือต้องทำให้วุ่นวายอะไร เพราะเเค่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ใช้อำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหาร ในมาตรา 44 ลงนามในคำสั่งถอดยศก็สามารถทำได้ทันที และนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็คงไม่มีอำนาจเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ได้ แต่หากสังคมไทยยังไม่สามารถปฏิรูปประเทศให้มีการใช้กฎหมายอย่างมีมาตรฐานเดียว สังคมก็จะเกิดความขัดแย้งต่อไป
ด้านนายอนุสิษฐ คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์กังวลกรณีการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองบานปลายออกไปหรือไม่ว่า อย่าไปคิดว่าจะวุ่นวายหรือไม่วุ่นวาย แต่อยากให้คิดว่าในหลักกติกา การบังคับใช้เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ เพราะในอดีตเราละเลยการบังคับใช้กฎหมายให้วุ่นวาย เมื่อถามว่า ด้านการข่าวต้องมีการระมัดระวังอะไรหรือไม่ เพราะอาจจะมีการปลุกระดม นายอนุสิษฐกล่าวว่า ด้านการข่าวต้องเฝ้าระวังทุกมิติอยู่แล้ว และเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจ นายกฯ ก็ได้อธิบายอย่างชัดเจนอยู่แล้ว จะถอดหรือไม่ถอด และจะมีคำตอบอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เราตัดสินใจเอง แต่เป็นเรื่องของกระบวนการ เรื่องนี้ประชาชนเข้าใจและเชื่อว่ากระแสอะไรต่างๆ ก็ไม่น่าเกิดขึ้น