อดีต ส.ส.กทม.ประชาธิปัตย์ แฉบ้านหรูในน้ำผุดทับลาวของน้องสาวแม่ยายรองประธานสภาฯ ยุคยิ่งลักษณ์ สร้างในที่ ส.ป.ก. จวกกระทรวงทรัพย์เมินร่วมมือให้ข้อมูล บี้ราชการรื้อใน 30 วัน สั่งย้ายหัวหน้าสวนรุกขชาติ จี้ “เจริญ” แจงใช่หรือไม่ สงสัยของบรัฐทำถนนเข้าบ้านหรือไม่ แย้มฟ้อง ป.ป.ช. โอดหาข้อมูลยากมีชายฉกรรจ์คุมพื้นที่ บอกผิดหวัง “ประยุทธ์” จัดการทุจริต
วันนี้ (9 ส.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีมีการร้องเรียนสร้างรีสอร์ตที่บริเวณน้ำผุดทับลาว จ.ชัยภูมิ โดยพบบ้านหลังใหญ่ซึ่งชาวบ้านบอกว่าเป็นของ นายเจริญ จรรย์โกมล อดีตรองประธานสภาฯ ว่า ตนได้ประสานขอข้อมูลจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ แต่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ จึงได้พยายามหารายละเอียดเกี่ยวกับการประกาศพื้นที่ป่าสงวนในบริเวณดังกล่าวและกลับไปพื้นที่ใช้ระบบจีพีเอสในพื้นที่บ้านของนายเจริญว่าจะทับกับพื้นที่ป่าสงวนหรือไม่ ปรากฏว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของ ส.ป.ก.ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2537
นายวิลาศกล่าวว่า พื้นที่ ส.ป.ก.จะสร้างบ้านใหญ่ไม่ได้ เพราะใช้เป็นที่อยู่และที่ทำกิน แต่สิ่งที่พบมีสิ่งก่อสร้างจำนวน 5 หลัง 3 หลังใหญ่เป็นที่พัก อีก 1 หลังใหญ่ใช้จอดรถได้ประมาณ 6 คัน และอีก 1 หลังใช้สำหรับรับรองบรรจุได้ 200 คน จึงได้ตรวจสอบไปที่ ส.ป.ก.พบว่าผู้ขอสิทธิคนแรกในการใช้ที่ดินดังกล่าวจำนวน 35 ไร่ 3 งาน คือ นางสายตา ประเสริฐสาน และมีพี่สาวชื่อ บุญมา เปรมประยูร มีลูกสาวชื่อนางเรวดี จรรย์โกมล เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลคอนสาร ท้องที่ที่ ส.ป.ก.ดังกล่าวตั้งอยู่ โดยนางเรวดีเป็นภรรยาของนายจันทร์สุข จรรย์โกมล พี่น้องต่างมารดากับนายเจริญ จรรย์โกมล จึงสรุปได้ว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์คือน้องสาวแม่ยายของพี่ชายนายเจริญ
นอกจากนี้ยังพบว่า ส.ป.ก.จัดพื้นที่ในปี 2537 แต่นางสายตา ไม่ยอมรับสิทธิดังกล่าวเพราะโอนไม่ได้ นอกจากทายาทที่เป็นเกษตรกร แต่ถ้ายังถือสิทธิยังซื้อขายได้ถ้าได้รับการยอมรับจาก ส.ป.ก. จึงไม่ยอมไปรับ ส.ป.ก.จนเสียชีวิตในปี 2549 โดยในระหว่างที่ยังมีชีวิตระหว่างปี 47-49 เริ่มมีการสร้างบ้านในพื้นที่ดังกล่าวผิดระเบียบ ส.ป.ก.ที่ให้สร้างเฉพาะพื้นที่อยู่อาศัยเพื่อการเกษตรกรรม อีกทั้งเมื่อนางสายตาเสียชีวิตแล้วการก่อสร้างก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันว่าเคยเห็นนายเจริญมาควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเองบ่อยครั้ง
นายวิลาศกล่าวเพี่มเติมว่า หลังจากนางสายตาเสียชีวิตมีการออกหนังสือรับรองสิทธิเพื่อใช้พื้นที่ ส.ป.ก.โดยนายสมศักดิ์ นำพา ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นกรรมการมูลนิธิน้ำผุดทับลาว เป็นคนสนิทของนายเจริญ และระบุชื่อนายเจริญ จรรย์โกมล เป็นเจ้าของที่ดินโดยครอบครองที่ดินมาแล้ว 19 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นางสาวสายตาได้รับสิทธิ แต่ลายเซ็นกลับไม่เหมือนลายเซ็นปกติที่นายเจริญใช้ มีความเป็นไปได้ที่ตั้งใจจะให้แตกต่างเพื่อแก้ตัวว่าไม่เกี่ยวข้องหากถูกจับได้
“ผมมั่นใจที่ดิน ส.ป.ก.นี้เชื่อมโยงกับนายเจริญ น่าเชื่อว่าการออกใบรับรองเป็นเจ้าของที่ดินมีเจตนาไม่ชอบต่อที่ดินแปลงนี้ จึงขอแจ้งไปที่ ส.ป.ก.ให้เวลา 30 วัน ให้เข้าไปรื้อสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด เพราะกฎหมายปฏิรูปที่ดินระบุว่าต้องไม่ปลูกสร้างนอกเหนือโรงเรือน ยุ้งฉาง หรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อเกษตรกรรม ไม่มีการระบุให้สร้างหมู่บ้าน และต้องหาผู้รับผิดชอบให้ได้เพื่อดำเนินคดีคดีอาญา เหมือนกรณีอดีตส.ส.ขุดดินในพื้นที่ ส.ป.ก.ที่บุรีรัมย์ ถ้านายเจริญไม่เกี่ยวข้องก็ต้องออกมาฏิเสธให้ชัดเจน เพราะคุณสมบัติไม่สามารถครอบครอง ส.ป.ก.ได้อยู่แล้ว เนื่องจากคนที่ครอบครองได้ต้องไม่มีรายได้ประจำ ประกอบอาชีพเกษตรกร และยากจน จึงต้องยกเลิกกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยเด็ดขาด” นายวิลาศกล่าว
นายวิลาศกล่าวต่อว่า นอกจากรุกพื้นที่ ส.ป.ก.35 ไร่ 3 งานแล้ว ยังมีการตัดถนนความกว้าง 4 เมตรเข้าไป ในบริเวณดังกล่าวยาวไปสุดรั้วบ้านด้วย ไม่แน่ใจว่าเป็นการใช้งบของกระทรวงท่องเที่ยวฯ ในการปรับปรุงภูมิทัศน์น้ำผุดทับลาวเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยใช้มูลนิธิบังหน้า หรือว่างบส่วนตัว เพราะนายเจริญได้เป็นผู้เสนอของบดังกล่าวในสมัยที่เป็นประธานกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ ดังนั้นต้องดำเนินคดีเนื่องจากผิดกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่ไม่ให้ก่อสร้างเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมหรือเสียหายต่อการที่ประโยชน์ในที่ดินของเกษตรกรอื่น การสร้างถนนดังกล่าวถือเป็นความผิด ที่สำคัญคือ พื้นที่ของนายเจริญ อยู่ใกล้กับสวนรุกขชาติน้ำผุดทับลาว จึงต้องตั้งคำถามว่าหัวหน้าสวนฯ รู้เห็นเป็นใจด้วยใช่หรือไม่ ขอให้มีการย้ายด่วน ไม่เช่นนั้นก็จะดำเนินการต่อไปและจะมีการร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อไป
“ส่วนตัวท่านนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) นั้น ผมยังไม่ตัดสินใจว่าจะร้องเรียนหรือไม่ เพราะเคยร้องเรื่องอดีตผู้ว่าฯ เกี่ยวข้องกับการทุจริตเป็น สปช. ท่านยังไม่ดำเนินการใดๆ จึงไม่มีความหวังอะไรกับนายกฯแล้วเกี่ยวกับเรื่องการทุจริต และต่อไปผมจะแถลงให้ทราบว่าผมไม่เชื่อเรื่องปราบการทุจริตตามที่นายกฯ ออกมาประกาศในหลายเรื่อง เพราะมีการใช้มาตรา 44 ดำเนินการกับข้าราชการบางคนในเรื่องการจัดซื้อสารปราบศัตรูพืช แต่คนที่ทำผิดลักษณะเดียวกันกลับได้เป็น สนช.” นายวิลาศกล่าว
ทั้งนี้ นายวิลาศยังเปิดเผยว่า การหาข้อมูลของตนเป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบคนคอยคุมพื้นที่เข้าออกบริเวณบ้านของนายเจริญอย่างเข้มงวด และมีชาวบ้านที่อยู่ในกลุ่มต่อต้านการตัดไม้รุกที่ในพื้นที่ที่พาตนไปหาหัวหน้าสวนรุกขชาติก็ถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายได้รับบาดเจ็บ เมื่อไปร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ สภ.ห้วยยอด กลับให้ลงบันทึกไว้แต่ไม่มีการลงเลขคดี จึงมั่นว่าเรื่องนี้มีหลายกลุ่มเกี่ยวโยงกัน หากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องการหลักฐานข้อมูลตนก็พร้อมที่จะให้ รวมถึงพยานชาวบ้านในพื้นที่ด้วย