“ประยุทธ์” เปิดทำเนียบหารือนักธุรกิจมะกัน คาดปีหน้าลงทุนเพิ่ม มั่นใจการเมืองไทย รับพูดกันตั้งแต่หลังรัฐประหารไม่ได้รังเกียจอะไร ย้ำเป็นมิตรกันต่อ เผยบริษัทรถยนต์สนใจลงทุน ยินดีหนุน แจง สัมปทานปิโตรเลียมต้องรอ พ.ร.บ.ก่อน รับคุยเทียร์ 3 แต่ไม่ให้ความสำคัญเหตุเชื่อไทยแก้ได้ ไม่พูดถึงคว่ำบาตร-TPP ก่อนโชว์ลูกประคำ น้ำตาพระศิวะ เผยเจ้าพระคุณท่านฝากให้ใส่ เป็นกำลังใจให้ตัวเอง
วันนี้ (7 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (US-ASEAN Business Council : USABC) ประกอบด้วย AIG, Brown-Forman, Caterpillar, Chevron, Cigna, Cisco, Citibank, Coca-Cola, ConocoPhillips, Dow Chemical Company, Eli Lilly and Company, Ford Motor Company, General Electric (GE), Google, Guardian Industries, MasterCard, Mead Johnson, Microsoft, Monsanto, Philip Morris, Procter & Gamble, Qualcomm, Seagate, Syngenta, Time Warner, UPS, และ Visa เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อหารือเกี่ยวกับการค้าการลงทุนในประเทศไทย
โดยในเวลา 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือว่า นักธุรกิจอเมริกัน 50-60 บริษัทที่ลงทุนในไทยที่มาพบนั้ ถือว่าเป็นประเทศที่มาลงทุนในไทยอันดับสอง โดยประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่ง และที่พบครั้งนี้มีหลายสาขา รวม 5 กลุ่ม พร้อมจะร่วมลงทุนในไทยในโอกาสต่อไปโดยเร็ว ตนได้พูดให้กลุ่มนักธุรกิจเหล่านี้เข้าใจสถานการณ์การเมือง สถานการณ์ความมีเสถียรภาพของไทย และการเดินหน้าประเทศในขณะนี้ที่ทำอย่างไรที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น สร้างความเข้มแข็ง เพิ่มพูนการแข่งขัน การถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งเขาก็รับไปหมดและยินดีที่จะร่วมมือกับเราในโอกาสจากนี้เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน เขาก็มีการคุยกันตลอดอยู่แล้วกับกระทรวง ทบวง กรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) คาดว่าในปี 2559 การลงทุนจะเพิ่มมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มนักลงทุนสหรัฐมีข้อห่วงใยถึงสถานการณ์ประเทศไทยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขาไม่ได้ห่วงอะไร โดยเฉพาะเรื่องการเมืองเขามั่นใจ เพราะกลุ่มพวกนี้ลงทุนในไทยอยู่แล้ว และต้องการจะขยายการลงทุนให้มากขึ้นในกิจการอื่นๆ ตนก็บอกเชิญมาเลย อะไรต่างๆ ที่เห็นว่าไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์อาเซียน ทั้งความเชื่อมโยง สาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งทางบก น้ำ อากาศ ตนก็เล่าให้ฟัง ข้อสำคัญคือเราต้องลดอุปสรรคทางการค้าให้กับทุกประเทศ รวมถึงอเมริกาด้วย ที่ผ่านมาทุกประเทศเจอกับอุปสรรคหมด วันนี้เราได้แก้กฎหมาย และจัดตั้งศูนย์วันสต็อปเซอร์วิสในหลายๆ แห่งทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่อยากมาลงทุนกับเรา พูดแล้วทำแล้วก็ไม่จบกันเสียที ยาวเป็นปี คราวนี้ต้องจบภายใน 30 วัน เพื่อให้เขาหาทางการลงทุนต่อไป
“การลงทุนต้องหาเงินมาลงทุน ไม่ใช่เอาเงินในกระเป๋ามาลงทุน และต้องเข้าใจ ซึ่งนักธุรกิจมองหาช่องทาง หลังจากที่มั่นใจและทุกอย่างต้องใช้เวลา ทั้งด้านพลังงาน สุขภาพ ยา เขาพร้อมลงทุน โดยผมได้บอกว่า ต้องถ่ายทอดให้ไทยด้วย ไม่เช่นนั้นวันหน้าไทยจะเป็นฝ่ายที่ต้องซื้อตลอดซึ่งเขาก็ยินดี รวมถึงเรื่องการเกษตร การลงทุนบริษัทรถยนต์ที่มีหลายบริษัทสนใจ พร้อมจะมาทันที เพราะพูดกับผมมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร เขาไม่ได้รังเกียจอะไรผม และวันนี้เขาต้องการความคืบหน้า เขาให้เกียรติและมาพบผม และยืนยันจะร่วมลงทุนกับเรา ผมก็บอกไปว่าเรากับอเมริกาเป็นมิตรกันมายาวนานถึง 180 ปี ฉะนั้นยังไงเราก็ต้องเป็นมิตรกัน จะย้ายประเทศหนีกันไม่ได้ ถ้าไม่ชอบผมก็ให้ลืมๆผมไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนบริษัทรถยนต์นั้น วันนี้มีหลายประเทศที่สนใจจะมาลุงทุนทั้งมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ โดยเฉพาะบริษัท ฟอร์ด ที่สนใจจะขยายการลงทุนเพิ่ม หากเป็นโรงงานสีเขียวและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เราได้เราก็ต้องยินดีและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพราะมันจะเกิดห่วงโซ่ หากเขาลงทุนเกิดผลผลิตก็จะมีรายได้เข้าประเทศ มีการจ้างงาน และมีบางบริษัทยินดีที่จะตั้งบริษัทในลักษณะทวิภาคี ให้เราเข้าไปเรียนรู้ในบริษัทเขาด้วย ตนอยากให้โรงงานเหล่านี้ตั้งกระจายในหลายพื้นที่ โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษก็เป็นเขตที่กำหนดขึ้นมา แต่จะเกิดขึ้นเท่าไหร่อย่างไร เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ใช่ว่าจะต้องเกิดได้ปีนี้ปีนั้นแล้วมีมูลค่ามหาศาลมันไม่ใช่ มันต้องมีแผนไปขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวถามว่าทางนักธุรกิจสหรัฐฯ ได้สอบถามถึงการเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขาก็ถามซึ่งเขาได้ติดตามอยู่ ตนได้ยืนยันไปว่าต้องรอกฎหมาย หาก พ.ร.บ.ออกมา ก็ต้องดำเนินการ เขาก็ฟัง จากนั้นจะมีการแข่งขันอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไป
ส่วนผลกระทบจากอันดับการปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ไทยอยู่เทียร์ 3 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทางกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐ ก็มีการพูดถึง แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากมาย เพราะรู้ว่าเราแก้ปัญหาอยู่ วันก่อนตนได้ออกคำสั่งไปฉบับหนึ่ง เพื่อให้เกิดความเข้มงวด ไม่ใช่ต้องการจะรังแกใครสักคนสักพวก เพราะเป็นคนไทยก็ต้องหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อไม่ถูกกฎหมายตนจะทำอย่างไรได้ จำนวนเรือก็มีความสำคัญ มากเกินไปก็ไม่มีปลาให้จับ ไปจับต่างประเทศก็ผิดกฎหมายถูกจับอีก กระเทือนกันไปหมด เราต้องทำให้ถูกหลักเกณฑ์ของไอยูยูด้วย ซึ่งวันนี้ต้องจัดระเบียบใหม่ หากปล่อยเป็นอย่างเดิมปัญหาก็จะพันไปเรื่อยๆ และกระทบภาพรวมของประเทศด้วย
เมื่อถามว่ามีการแสดงความเป็นห่วงหากไทยถูกมาตรการคว่ำบาตรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขายังไม่พูดจะไปเชิญเขามาคว่ำทำไม เขาบอกแล้วถ้าเราทำดีมีความตั้งใจก็อยู่ระดับนี้ไปก่อน สื่อไม่ต้องไปเชิญเขามาคว่ำ ไม่ต้องพูดก็ได้ ถ้าเขาจะคว่ำก็ทำเอง ไม่ต้องไปเชื้อเชิญเขามา
ผู้สื่อข่าวถามถึงการหารือเรื่องความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีการพูดถึง เพราะการพูดจาตนต้องระวังอยู่แล้ว ความตกลงที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของประเทศชาติต้องมาหารือโดยกระทรวงสาธารณสุขจะต้องร่วมพิจารณาด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน หลัง พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้าและสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล และกำลังจะเดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงสร้อยข้อมือที่นายกฯ ใส่ไว้ที่ข้างขวา มีลักษณะเป็นลูกประคำสีน้ำตาลเข้มที่เรียกกันว่า “น้ำตาพระศิวะ” ว่าใส่สร้อยข้อมืออะไร โดยนายกฯ ถอดสร้อยข้อมือให้ผู้สื่อข่าวดู ผู้สื่อข่าวได้ถามว่าพระวัดไหนเป็นคนให้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เจ้าพระคุณท่านที่ไปทำบุญที่ประเทศอินเดียให้มา ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ ชอบของขลังใช่ไหม นายกฯ ตอบว่า มันอยู่ที่ความดี อันนี้ใส่เป็นกำลังใจให้ตัวเอง ตนมีทุกวันอยู่แล้ว ท่านบอกว่าฝากมาให้นายกฯ ใส่ โดยเป็นการใส่ซองส่งไปรษณีย์มาให้ เพิ่งได้เมื่อวาน (วันที่ 6 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวถามว่า ใส่แล้วจะทำให้อยู่ยาวใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ ใส่แล้วปลอดภัย แคล้วคลาด เมื่อถามต่อว่า ใส่แล้วอยู่ต่ออีก 3 ปีหรือเปล่า นายกฯ พูดแค่ว่า “โธ่” ผู้สื่อข่าวยังได้ถามนายกฯ ว่าใส่แล้วใจเย็นลงไหม นายกฯ ไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด จากนั้นเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า