xs
xsm
sm
md
lg

ตราบาป 40 ปีสงครามเวียดนาม “เหยื่อฝนเหลือง” ภาพชุดสุดสะเทือนใจหาดูได้ยากยิ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

<br><FONT color=#000033>ภาพจำนวน 24 ภาพที่เผยแพร่เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีการสิ้นสุดสงครามเวียดนามนี้ นับเป็นข่าวคราวล่าสุดจากบรรดาผู้ที่เชื่อกันว่า เป็นเหยื่อของ ฝนเหลือง ที่สหรัฐโปรยลง โดยมีจุดมุ่งหมายทำลายใบไม้ในป่า มิให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้เป็นแหล่งหลบซ่อน และ ต่อมาโปรยลงท้องไร่ท้องนา เพื่อทำลายพืชผลต่างๆ โดยว่าเป็นการตัดเสบียงของฝ่ายเวียดกงกับเวียดนามเหนือ พิษภัยของสารพิษยังคงบั่นทอนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามนับล้านครัวเรือน จนกระทั่งในปัจจุบัน และ แม้จะผ่านไป 4 ทศวรรษ ก็ยังไม่สามารถหาใครรับผิดชอบความหายนะที่เกิดขึ้นได้. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สงครามเวียดนามผ่านไป 40 ปีที่แล้ว แต่ผู้ได้รับผลกระทบจำนวนนับล้านยังคงทนทุกข์อยู่กับสิ่งที่เกิดในอดีต และยังไม่สามารถหาตัวผู้รับผิดชอบต่อผู้เคราะห์ร้ายได้ การต่อสู้ทางศาลล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อาจจะเอาผิดใดๆ ต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ และบรรดาผู้เกี่ยวข้องลอยนวล ไม่ได้มีแต่ชาวเวียดนามเท่านั้น ผู้ที่ล้มป่วย หรือทุพพลภาพโดยเชื่อว่า มีสาเหตุจากการได้รับหรือสัมผัสกับสารไดออกซิน จาก “ฝนเหลือง” ที่สหรัฐฯ นำไปโปรยลงในเขตป่า ลำน้ำลำธาร รวมทั้งเทือกไร่นาสวนของชาวบ้านเมื่อครั้งสงคราม หากยังรวมทั้งทหารผ่านศึกอเมริกันจำนวนมากด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนนับพันคนที่ไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการเยียวยาบำบัด

มีการศึกษา และมีงานเขียนมากมายเกี่ยวกับการโปรยสารกำจัดใบไม้ ในช่วงสงครามเวียดนามโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างช่วงปี 2505-2514 สารชนิดนี้เรียกกันทั่วไปว่า Agent Orange หรือ “สารสีส้ม” เป็นการเรียกตามป้ายชื่อที่ติดอยู่ข้างถังบรรจุขนาด 200 ลิตร ซึ่งเป็นแถบสีส้ม เป็นส่วนประกอบในปริมาณเท่าๆ กันของสารพิษ 2 ชนิด ที่ผลิตจากเคมีภัณฑ์ การศึกษาวิจัยกับการทดลองหลังสงครามสิ้นสุดลง โดยผู้เชี่ยวชาญกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในสหรัฐฯ ได้พบว่าเป็นสารที่มีพิษภัยต่อมนุษย์อย่างร้ายแรง สามารถทำให้คนล้มป่วยมากมายหลายอาการ รวมทั้งมะเร็งในเม็ดเลือด สารพิษดังกล่าวยังสามารถส่งผลต่อคนรุ่นลูกหลานของผู้ที่ได้รับ หรือได้สัมผัสอีกด้วย

ยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอนเกี่ยวกับปริมาณของ “เอเยนต์ ออเรนจ์” ที่โปรยลงในเวียดนาม เนื่องจากมีการนำไปใช้โดยไม่มีการบันทึกเป็นจำนวนมาก แต่ตัวเลขของกองทัพสหรัฐฯ ที่เปิดเผยในระยะหลังๆ พบว่า มีการนำขึ้นเครื่องบินกับเฮลิคอปเตอร์ไปโปรยในเขตป่าเวียดนาม ทั้งในเขตป่าไม้เบญจพรรณสมบูรณ์ และป่าโกงกางชายทะเล และตามชายฝั่งแม่น้ำโขงในภาคใต้ รวมอย่างน้อย 19 ล้านแกลลอน ใช้มากที่สุดในช่วงปี 2510-2511 จนกระทั่งปี 2514 ภายหลังการเซ็นสัญญาสันติภาพกรุงปารีส จึงได้เลิกใช้ หากคิดเป็นเที่ยวบินก็มีการนำสารกำจัดใบไม้มีพิษชนิดนี้ไปโปรยรวม จำนวน 20,000 เที่ยว รวมเป็นพื้นที่ราว 20,000 ตารางกิโลเมตร มีป่าไม้ถูกทำลาย ใบร่วงจนโกร๋น จำนวน 12,500,000 ล้านไร่ ทำลายพืชผลต่างๆ ของราษฎรอีก 1,250,000 ไร่

ยังมีการนำสารพิษชนิดนี้ไปโปรยในพื้นที่ต่างๆ โดยทหารราบ ซึ่งใช้ยานลำเลียงพลหุ้มเกราะบรรทุกอีกจำนวนมากมายหลายเที่ยว ซึ่งยังไม่มีใคร หรือหน่วยใดสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ครบถ้วนทั้งหมด แม้กระทั่งการโปรยจากเฮลิคอปเตอร์ ก็ไม่มีการบันทึกเป็นจำนวนมาก

การศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเวียดนาม และด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะหลังๆ รวมทั้งการศึกษาโดยหน่วยงานอิสระ และโดยองค์การระหว่างประเทศ ได้พบว่า ในเวียดนามปัจจุบันยังมีสารไดออกซินตกค้างอยู่ในหลายพื้นที่ ทั้งในดิน ในลำน้ำลำธาร ลำห้วย รวมทั้งในผืนนาการศึกษาได้พบว่า สนามบินอย่างน้อย 6 แห่งที่เคยเป็นฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ในช่วงสงคราม และใช้เป็นแหล่งจัดเก็บ หรือเป็นแหล่งแจกจ่ายสารพิษ ยังคงมีสารตกค้างมากมายจนเกินเลยขีดอันตรายปกติ

ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐสภารวมทั้งสิ้น 32 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือคอมมิวนิสต์เวียดนาม จัดเก็บทำลาย หรือ “กักบริเวณ” สารพิษในพื้นที่ 3 แห่ง คือ สนามบินนครด่าหนัง สนามบินเบียนหว่า (จ.โด่งนาย) และ สนามบินฝูก๊าต (Phu Cat) เมืองกวีเญิน (Qui Nhon) จ.บี่งดิง (Binh Dinh) จนกระทั่งปี 2554 จึงสามารถดำเนินการที่ด่าหนังได้สำเร็จเป็นแห่งแรก

ยังไม่มีผู้ใดหรือหน่วยงานใดทราบแน่ชัดอีกเช่นกันว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากสารพิษใน Agent Orange จำนวนทั้งหมดเท่าไรในเวียดนาม รวมทั้งในสหรัฐฯ แต่การศึกษาโดยทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก ประมาณการว่า เมื่อครั้งที่สหรัฐฯ นำไปโปรยนั้น ตามรายทางที่โปรยลงไปมีชาวเวียดนามอาศัยอยู่ราว 4.8 ล้านคน และมีทหารกองทัพรัฐบาลเวียดนามใต้ในอดีต เวียดกง และทหารเวียดนามเหนืออีกราว 1 ล้านคน ได้รับสารพิษโดยตรง ในขณะที่สภากาชาดแห่งชาติเวียดนาม ให้ตัวเลขว่า ปัจจุบันมีชาวเวียดนามราว 3 ล้าน ที่ได้รับผลกระทบ เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ ในนั้นยังรวมทั้งเด็กๆ อีกราว 150,000 คน ที่เกิดมาพิกลพิการ โดยเชื่อว่าเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากการได้รับสารไดออกซินจากรุ่นพ่อ และหรือรุ่นปู่ตั้งแต่ครั้งสงคราม

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ปัดปฏิเสธตัวเลขเหล่านี้ โดยระบุว่า “ห่างไกลจากความจริง” ทั้งยังปฏิเสธที่จะให้การเยียวยาแก่บุคคลเหล่านี้ โดยระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่สามารถชี้ชัดได้ว่า สารไดออกซินใน “ฝนเหลือง” นั้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงต่อการล้มป่วย และการเกิดมาอย่างผิดปกติของทารกกว่าแสนคนในเวียดนาม

ส่วนในสหรัฐฯ นั้น กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก ให้ตัวเลขประมาณการว่า ทหารอเมริกัน จำนวน 2.8 ล้านคน ที่เคยไปปฏิบัติการ หรือ “ได้เหยียบพื้นดิน” เวียดนาม ระหว่างปี 2505-2518 ล้วนมีโอกาสได้สัมผัสกับสารที่ใช้ในการกำจัดใบไม้ กระทรวงฯ ได้ระบุอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการได้รับผลกระทบเอาไว้จำนวนหนึ่ง และถ้าหากทหารผ่านศึกคนใดมีอาการต่างๆ เหล่านั้นก็จะสามารถขอรับการรักษาพยาบาลเป็นสวัสดิการจากรัฐได้ ซึ่งจำนวนผู้ที่เข้าขอรับการช่วยเหลือมีเพิ่มขึ้นทุกปี
.
<FONT color=#000033>นางจางถิกวี๋ (Trang Thi Quy) อาบน้ำให้ดว่านวันกวี๋ (Doan Van Quy) ลูกชายพิการ ที่บ้าน อ.จึ๊กลี (Truc Li) จ.กว๋างบี่ง (Quang Binh) ในช่วงสงคราม บิดาของนายกวี๋เป็นพลปืนต่อสู้อากาศยาน และ อาศัยอยู่ในย่านนั้นมาตลอด ซึ่งเป็นอีกย่านหนึ่งที่อยู่ใกล้เขตปลอดทหาร ที่สหรัฐโปรยฝนเหลืองลงหนาแน่นเมื่อกว่า 40 ปีก่อน บุตรชาย 2 คนเกิดมาพิกลพิการ และมีปัญหาด้านสุขภาพอย่างน่าเป็นห่วง ญาติกล่าวว่า สิ่งนี้เป็นผลพวงจากบิดาได้รับสารพิษ. -- Reuters/Damir Sagolj. </font></b>
2
<FONT color=#000033>เหวียนถิเวินลมง์ (Nguyen Thi Van Long) -- ขวามือ -- เกือบจะเป็นสัญลักษณ์ของเด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากฝนเหลือง ภาพของเธอแพร่ไปทั่วโลกในช่วงกว่า 10 ปีมานี้ เวิน กำลังเล่นอยู่กับดีงถิเฮือง (Dinh Thi Huong) เพื่อนสนิทที่เป็นใบ้และหูหนวก ทั้งคู่พักอาศัยอยู่ภายใน หมู่บ้านมิตรภาพ ชานกรุงฮานอย ที่สร้างขึ้นมาโดยได้รับการสนับสนุนจากหลายองค์การและหน่วยงานระหว่างประเทศ บิดาของหญิงสาวทั้งสองเป็นทหารในช่วงสงครามและได้สัมผัสฝนเหลือง หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี 2541 มีเด็กๆ อาศัยอยู่ 120 คน ทหารผ่านศึกอีก 60 คน. -- Reuters/Damir Sagolj.   </font></b>
3
แต่ปัญหาไม่ได้ยุติลงเท่านั้น ทหารผ่านศึกจำนวนมากหวาดวิตกว่า ผลกระทบจะตกทอดไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงมากที่สุดซึ่งก็คือ ทหารอากาศที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อการโปรยสารพิษ คนเหล่านั้นมีจำนวนระหว่าง 1,500-2,100 คน เคยปฏิบัติการบนเครื่องบินแบบ ซี-123 ที่ใช้เป็นพาหนะ ทุกคนได้สัมผัส “ฝนเหลือง” โดยตรง

หลายปีมานี้ก็จึงมีความพยายามฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจากผู้เกี่ยวข้องมาหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จ

การเปิดคดีความเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2527 โดยทหารผ่านศึกรวมกลุ่มกันเป็นโจทก์เอง กล่าวหารัฐบาล กับบริษัทผู้ผลิตว่า การใช้สารเคมีเอเยนต์ ออเรนจ์ เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนธิสัญญานครเจนีวา ที่เกี่ยวกับการห้ามใช้อาวุธเคมี แต่ศาลวินิจฉัยว่า สารไดอ็อกซินในเอเยนต์ ออเรนจ์ มิใช่สารเคมีที่ใช้ใน “สงครามเคมี” เป็นเพียงยาฆ่าศัตรูพืชชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และสารดังกล่าวไม่เข้าข่ายการเป็นอาวุธชนิดใดๆ เนื่องจากไม่ได้ใช้เพื่อการทำลายล้าง สังหาร หรือเอาชีวิตฝ่ายปรปักษ์ ฯลฯ
เมื่อไม่สามารถฟ้องร้องเอาผิดต่อรัฐบาลที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายในสภาวะสงครามได้ ทหารผ่านศึกจากเวียดนาม จึงได้เพียรพยายามมาหลายครั้งในการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทผู้ผลิตจำนวนกว่าสิบแห่ง ที่นำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่สองแห่งคือ มอนซานโต (Monsanto) กับ ดาวเคมิคัล (Dow Chemical)

การยื่นฟ้องเมื่อปี 2547 โดยสมาคมเหยื่อสารเอเยนต์ ออเรนจ์/ไดอ็อกซิน (Vietnam Association for Victims of Agent Orange/dioxin - VAVA) ซึ่งเป็นกลุ่มพิทักษ์สิทธิของผู้ได้รับผลกระทบนั้น นับเป็นขีดหมายสำคัญของความพยายามดังกล่าวแม้จะไม่สำเร็จอีกก็ตาม

สมาคมฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงบรู๊กลีน นครนิวยอร์ก เรียกร้องค่าเสียหายให้บรรดาเหยื่อ โดยกล่าวหาบริษัทผู้ผลิตสารพิษ ว่า เป็นผู้ทำให้เกิดมีสารดังกล่าว และมีการนำไปใช้โดยผิดต่อข้อตกลงกรุงเฮกปี ค.ศ.1907 ที่ว่าด้วยสงครามบนบก และพิธีสารนครเจนีวาปี ค.ศ.1925 กับข้อตกลงเจนีวา ค.ศ.1949 มอนซานโต กับดาวเคมิคัล ซึ่งเป็นผู้ผลิตให้แก่กองทัพสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด ถูกระบุชื่อเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 พร้อมกับบริษัทอื่นๆ ที่เป็นผู้ผลิตรายย่อยอีกกว่า 10 แห่ง เป็นจำเลยตามกันเป็นลำดับ

ต่อมา ในเดือน มี.ค.2548 ผู้พิพากษาคนเดียวกันกับที่เคยพิจารณาคดีเมื่อปี 2527 ได้ออกอ่านคำวินิจฉัยยกคำฟ้องคดีนี้ โดยระบุเช่นเดิมว่า เมื่อครั้งที่นำไปใช้ในสงครามเวียดนามนั้น สารไดออกซิน ใน Agent Orange ยังไม่เข้าข่ายเป็นสารพิษตามกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนั้นสหรัฐฯ ก็มิใช่ประเทศแรกที่นำไปใช้ ก่อนหน้านั้น กองทัพอังกฤษ ที่ทำสงครามต่อต้านกับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์มลายู ได้เคยนำไปโปรยในมาเลเซียมาก่อน นอกจากนั้น ในเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ นำไปใช้ โดยได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายการทำสงคราม บริษัทผู้ผลิตเอเยนต์ ออเรนจ์ให้แก่รัฐบาล ก็ได้รับการคุ้มครองจากการถูกฟ้องร้องด้วย

การต่อสู้เรื่องนี้ยังไม่ยุติ ถึงแม้ว่าในบางกรณีกลุ่มมอนซานโต กับดาวฯ จะได้ประนีประนอมนอกศาล ยอมจ่ายชดเชยให้แก่เหยื่อบางกลุ่ม แต่ก็มิใช่การยอมรับผิด หากเป็นการจ่ายเพื่อแลกต่อการทำข้อตกลงที่อีกฝ่ายจะไม่ดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ต่อบริษัทด้วยเรื่องนี้อีกต่อไป

ปี 2550 ได้มีความพยายามอุทธรณ์คดีครั้งเมื่อปี 2547 แต่ในปี 2552 ศาลอุทธรณ์ในนิวยอร์ก ได้ยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งทำให้คดีฝนเหลืองมีอันตกไปจากระบบศาลในสหรัฐฯ นอกเสียจากจะสามารถหาคำฟ้องอื่นได้

อย่างไรก็ตาม ประชามติในสหรัฐฯ เองต่างๆ ต้องการที่จะเห็นรัฐบาลสหรัฐฯ ให้การเยียวยา “ผู้ต้องสงสัย” จะได้รับผลกระทบ ทั้งทหารผ่านศึกอเมริกันเอง รวมทั้งเหยื่อในเวียดนาม ซึ่งปัจจุบัน “เหยื่อฝนเหลือง” ในเวียดนาม ได้รับการช่วยบรรเทาความยากลำบาก จากองค์การระหว่างประเทศ หน่วยงานของต่างชาติ รวมทั้งหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวนหนึ่งด้วย

แต่ผลลัพธ์หลายอย่างไม่อาจบรรเทา หรือแก้ไขได้ รวมทั้งไม่สามารถเยียวยาได้

ภาพถ่ายทั้ง 24 ภาพต่อไปนี้ เป็นผลงานของ Damir Sagolj ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ภาพทั้งหมดถ่ายในช่วงเดือน เม.ย.นี้ จากหลายแหล่งที่เคยเป็นดินแดนประเทศเวียดนามใต้ ในช่วงสงคราม นับเป็นข่าวคราวล่าสุดเกี่ยวกับเหยื่อฝนเหลืองในเวียดนามโดยเฉพาะ และกล่าวได้ว่า เป็นภาพชุดที่สมบูรณ์ หลากหลายที่สุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว.
บาปนี้ใครก่อ? Reuters
<FONT color=#000033>เด็กๆ กำลังรออาหารมื้อเที่ยงในหมู่บ้านสันติภาพ ภายในบริเวณโรงพยาบาลตื่อดู๋ (Tu Du) ในเขตอำเภอที่ 1 นครโฮจิมินห์ เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2558 กว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยกว่า 60 คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งล้วนพิการหรือมีอาการทางจิต ไปจากเขตที่สหรัฐโปรยฝนเหลืองลงหนาแน่นในช่วงสงคราม แต่เด็กๆ อีกจำนวนหนึ่งที่นี่ ป่วยด้วยสาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารพิษใดๆ.  -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
4
<FONT color=#000033>ฟานวันเลิม (Phan Van Lam)  เกือบจะหล่นจากเปลนอน ในบ้าน จ.กว๋างบี่ง วันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา บิดาของเลิม ซึ่งเป็นทหารกองทัพเวียดนามเหนือ บอกผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ว่า เขาเองไม่ได้สัมผัสฝนเหลืองโดยตรง แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่สหรัฐโปรยสารกำจัดใบไม้ชนิดดังกล่าวอย่างแน่นหนา หมอในพื้นที่บอกว่าลูกชายพิการของเขา เป็นผลโดยตรงจากสารพิษที่ตกค้างมาจากตัวเขา.  -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
5
<FONT color=#000033>เลวันซเวิน (Le Van Dan) -- กลาง -- มองดูเลวันตาม (Le Van Tam) หลานพิการของเขาภายในบ้าน ที่หมู่บ้านเฟื้อกถาย (Phuoc Thai) ชานนครด่าหนัง ขณะน้องสาวของเขาป้อนนมหลานอีกคนที่กำลังป่วย นายซเวินซึ่งเป็นอดีตทหารประจำหน่วยปืนใหญ่กองทัพเวียดนามใต้ กล่าวว่าได้สัมผัสกับฝนเหลืองหลายครั้ง เมื่อเครื่องบินของสหรัฐนำไปโปรยลงใกล้หมู่บ้าน ก่อนที่เขาจะเข้าเป็นทหาร เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในท้องถิ่นบอกว่า การล้มป่วยของหลานทั้งสองคน เชื่อมโยงโดยตรงกับพิษของสารไดออกซินในตัวของเขาที่ตกทอดมาข้ามรุ่น.  -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
6
<FONT color=#000033>ลายวันแหม่ง (Lai Van Manh) นอนพักบนเตียง ขณะนายลายวันเบียน (Lai Van Bien) บิดารับแขกอยู่ในบ้าน ที่หมู่บ้านเตืองอาน (Tuong An)  จ.ถายบี่ง (Thai Binh) ในภาคเหนือเวียดนาม เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2558 นายเบียนเคยเป็นทหารฝ่ายข่าวกรองกองทัพเวียดนามเหนือ เขากล่าวว่าในช่วงสงคราม ได้ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ที่สหรัฐโปรยฝนเหลืองอย่างหนัก ปัจจุบันเขากับภรรยากำลังรักษาลูก 2 คน ที่ป่วยทั้งทางกายและทางจิต ซึ่งทุกฝ่ายต่างกล่าวว่าเกิดสารพิษที่เขาได้รับมานั่นเอง.  -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
7
<FONT color=#000033>นางดั่งถิกวาง (Dang Thi Quang) กับเหวียนวันบี่ง (Nguyen Van Binh) บุตรชายหน้าตาอัปลักษณ์ ในภาพสะท้อนผ่านกระจก ภายในบ้านพัก จ.กว๋างบี่ง เมื่อวันที่ 11 เม.ย. บิดาของบี่งเป็นทหารหน่วยขนส่งของกองทัพเวียดนามเหนือ ได้เดินทางและพักแรมคืนในบริเวณที่ทราบกันดีในภายหลังว่า เป็น จุดร้อน แห่งหนึ่ง ที่ปนเปื้อนฝนเหลืองของสหรัฐอย่างรุนแรง. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
8
<FONT color=#000033>นายโด๋ดึ๊กดิว (Do Duc Diu) อดีตทหารกองทัพเวียดนามเหนือ ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 กับลูกสาวที่บ้าน จ.กว๋างบี่ง เขากับภรรยาได้สูญเสียลูกๆ ไปแล้ว 12 คน จากทั้งหมด 15 ทุกฝ่ายล้วนกล่าวว่า เป็นผลจากสารพิษจากฝนเหลืองที่ตกค้างในตัวเขา มาตั้งแต่ครั้งสงคราม. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
9
<FONT color=#000033>นายดว่าน ตเว๊ (Doan Tue) อุ้มหลานอยู่ในบ้านพัก อ.จึ๊กลี จ.กว๋างบี่ง บนผนังห้องด้านหลังเป็นภาพของเขา เมื่อครั้งเป็นทหารประจำหน่วยปืนกลต่อสู้อากาศยาน นายตเว๊กล่าวว่าหลายสิบปีมานี้เขาได้อาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ ที่ปนเปื้อนสารพิษจากฝนเหลืองของสหรัฐ ลูกชายของเขาสองคนมีปัญหาสุขภาพรุนแรงตั้งแต่เกิด บุตรชายคนโตเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทุกฝ่ายล้วนกล่าวว่าเป็นผลกระทบจากฝนเหลืองของสหรัฐ. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
10
<FONT color=#000033>นายเหวียนห่มง์ฟุก (Nguyen Hong Phuc) ทหารผ่านศึกวัย 63 ปี นั่งอยู่กับลูกชายวัย 20 ปี นายเหวียนดี่งหล็อก (Nguyen Dinh Loc) ที่เพิ่งจะฟื้นจากการผ่าตัดเนื้องอก ภายในหมูบ้านมิตรภาพ สำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากฝนเหลือง ในย่านชานกรุงฮานอย นายดี่งหล็อกป่วยด้วยปัญหาทั้งทางกายและทางจิต ครอบครัวกับหมอในท้องถิ่น ต่างก็โยงสาเหตุการล้มป่วยของลูกชาย เข้ากับสารพิษที่บิดาได้รับมาตั้งแต่ครั้งสงคราม. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
11
<FONT color=#000033>นายดั่งวันเซิน (Dang Van Son) ชายพิการขายล็อตเตอรี่ ในภาพที่สะท้อนบนรูปภาพของนายดั่งวันแช็ง (Dang Van Sanh) อดีตทหารกองทัพเวียดนามเหนือ ในบ้านพักที่หมู่บ้านชานนครด่าหนัง นายแช็งผู้เป็นบิดา เคยโดนฝนเหลืองของสหรัฐเข้าอย่างจัง ระหว่างสู้รบในป่าในช่วงสงคราม และเวลาต่อมาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในลำคอ เขามีลูกชาย 2 คน หนึ่งคนในนั้นเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด นายเซินรอดแต่พิการ เช่นเดียวกับลูกสาวของเขา ทุกคนเชื่อว่า ทั้งหมดเป็นผลกระทบจากสารพิษ. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
12
<FONT color=#000033>เหวียนถิเถียต (Nguyen Thi Thiet) -- ซ้าย -- กับ เหวียนถิเฟื้อก (Nguyen Thi Phuoc) ซึ่งป่วยทั้งทางกายและทางจิต นั่งบนเก้าอี้ล้อเลื่อน ภายในบ้านของพี่ชายในนครด่าหนัง ในภาพวันที่ 12 เม.ย.2558 บิดาของคนทั้งสองซึ่งทำหน้าที่เป็นพลขับ ประจำกองทัพเวียดนามใต้ เคยโดนฝนเหลืองของสหรัฐ ในช่วงสงคราม ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นเหตุทำให้ลูกสาวทั้งสองคนเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
13
<FONT color=#000033>ลายวันแหม่ง (Lai Van Manh) นอนในมุ้งที่บ้าน ในหมู่บ้านเตืองอาน (Tuong An)  จ.ถายบี่ง (Thai Binh) ในภาคเหนือเวียดนาม เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2558 บิดาคือ นายลายวันเบียน (Lai Van Bien) เคยเป็นทหารฝ่ายข่าวกรองกองทัพเวียดนามเหนือ เขากล่าวว่าในช่วงสงคราม ได้ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ที่สหรัฐโปรยฝนเหลืองอย่างหนัก ปัจจุบันเขากับภรรยากำลังรักษาลูก 2 คน ที่ป่วยทั้งทางกายและทางจิต ซึ่งทุกฝ่ายต่างกล่าวว่าเกิดสารพิษที่เขาได้รับมานั่นเอง.  -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
14
<FONT color=#000033>เจ้าหน้าที่กำลังป้อนอาหาร ฝ่ามถิเฟืองแค็ง (Pham Thi Phuong Khanh) ในหมู่บ้านสันติภาพ ภายในโรงพบาบาลตื่อดู๋ นครโฮจิมินห์ ในภาพวันที่ 14 เม.ย.2558 ทั้งบิดาและมารดาของเฟืองแค็ง ต่างปนเปื้อนกับฝนเหลืองที่สหรัฐโปรยลงในช่วงสงคราม กว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยจำนวนกว่า 60 ราย ภายในที่อาศัยแห่งนี้ ไปจากบริเวณที่สหรัฐเคยโปรยสารกำจัดใบไม้ลงอย่างหนาแน่น. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
15
<FONT color=#000033>เหวียนถิหง็อก (Nguyen Thi Ngoc) ปาลูกบอลให้ดั่งถิหนือ (Dang Thi Nu) เพื่อนร่วมชั้น ขณะเล่นอยู่ภายในห้องออกกำลังกาย ในหมู่บ้านมิตรภาพ ที่มีเด็กๆ ได้รับผลกระทบจากฝนเหลืองราว 120 คน กับทหารผ่านศึกอีก 60 คนพักอาศัย ที่นี่อยู่ชานกรุงฮานอย ปู่ของดั่งถิหนือเป็นอดีตทหารเวียดนามเหนือ ที่เคยปนเปื้อนสารพิษจากฝนเหลืองของสหรัฐ เมื่อครั้งไปรบในเวียดนามใต้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเชื่อว่า อาการของหนือ มีต้นเหตุมาจากปู่นั่นเอง. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
16
<FONT color=#000033>เจิ่นหวี่งเทืองชิง (Tran Huynh Thuong Sinh) วัย 12 ปี กำลังทานอาหารโดยเจ้าหน้าที่คอยป้อน ที่หมู่บ้านสันติภาพ โรงพยาบาลตื่อดู๋ นครโฮจิมินห์ คุณพ่อ คุณแม่และปู่ของหนูน้อย ต่างเคยปนเปื้อนฝนเหลืองของสหรัฐ หมอและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่างเชื่อว่า สารพิษจากสงครามเมื่อกว่า 40 ปีก่อน เป็นสาเหตุของการล้มป่วยและการไม่สมประกอบของเทืองชิง.-- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
17
<FONT color=#000033>ทารกที่กายพิกลพิการ เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เก็บเอาไว้ในห้องแสดงที่โรงพยาบาลตื่อดู๋ นครโฮจิมินห์ ทุกฝ่ายต่างกล่าวว่า สาเหตุของความพิกลพิการเหล่านี้ เกี่ยวข้องโดยตรงกับจากสารพิษ ที่ตกค้างจากการโปรยฝนเหลืองของสหรัฐ ตั้งแต่ครั้งสงคราม 40-50 ปีที่แล้ว. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
18
<FONT color=#000033>ดว่านถิห่มง์กาม (Doan Thi Hong Gam) วัย 38 ปี ป่วยทางจิต และยังมีปัญหาทางกายภาพอีกด้วย เธอจะใช้ผ้าห่มคลุมปิดหน้าตา ตัวเองอยู่เสมอภายในห้องที่ว่างเปล่า ในโรงพยาบาล จ.ถายบี่ง ในภาคเหนือเวียดนาม ในภาพวันที่ 10 เม.ย.2558 ห่มง์กามถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องนี้คนเดียว เนื่องจากมีพฤติกรรมก้าวร้าวจากการป่วย บิดาของเธอซึ่งเป็นอดีตทหารเวียดนามเหนือที่ไปรบในสงครามปลดปล่อยเวียดนามใต้ เป็นอีกผู้หนึ่งที่เคยปนเปื้อนฝนเหลืองของสหรัฐ.  -- Reuters/Damir Sagolj.   </font></b>
19
<FONT color=#000033>เลดั่งหง็อกหุ่ง (Le Dang Ngoc Hung) วัย 16 ปี ที่ป่วยทั้งทางกายและทางจิต นอนในมุ้ง ที่บ้านในหมู่บ้านเฟื้อกถาย ชานนครด่าหนัง ในภาพวันที่ 12 เม.ย.2558 คุณปู่ของหุ่งคือ นายเลวันซเวิน (Le Van Dan) อดีตทหารหน่วยปืนใหญ่กองทัพเวียดนามใต้ เคยโดนฝนเหลืองที่สหรัฐโปรยลงในป่าเข้าอย่างจัง ซึ่งใครๆ ก็กล่าวกันว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้หลานเกิดมาพิการถึง 2 คน. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
20
<FONT color=#000033>ด.ช.เหวียนวันต๋วนตือ (Nguyen Van Tuan Tu) วัย 7 ขวบ ที่ป่วยด้วยหลากหลายอาการ ได้รับการดูแลจากครอบครัวที่บ้านใกล้กับสนามบินด่าหนัง ในภาพวันที่ 12 เม.ย.2558 ตอนที่บิดาของเจ้าหนูเข้าทำงานที่สนามบินนานาชาติแห่งนี้ในปี 2540 เขาไม่เคยทราบว่า ที่นั่นเคยเป็นแหล่งเก็บ Agent Orange ใหญ่ที่สุด และ ไม่เคยรู้อีกเช่นกันว่าสารพิษจากฝนเหลือง จะส่งผลมากมายต่อสุขภาพ เขาจับปลาและงมหอยจากแหล่งน้ำรอบๆ บริเวณนั้นกลับบ้านไปด้วยอยู่บ่อยๆ หลังจากเข้าทำงานที่นั่นก็มีลูกคนหนึ่งเกิดในปี 2543 และเสียชีวิตในปี 2548 ส่วนเหวียนวันต๋วนตือ เกิดปี 2551 เขากับภรรยายังมีลูกสาวคนหนึ่งที่มีสุขภาพดีมาก เกิดเมื่อปี 2538 หรือ สองปีก่อนจะเข้าทำงานสนามบินนานาชาติ แหล่งเก็บสารพิษที่นี่เพิ่ง เก็บกวาดและสะสางกันแล้วเสร็จเมื่อปี 2555. -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
21
<FONT color=#000033>ภาพที่เริ่มซีดจางของนายดั่งวันแช็ง (Dang Van Sanh) กับภรรยานางเหวียนถิทิน (Nguyen Thi Thin) แขวนบนฝาห้องที่บ้านพัก ในหมู่บ้านเลเซินบั๊ก (Le Son Bac) ทางตอนเหนือของนครด่าหนัง เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2558 นายแช็งโดนฝนเหลืองแบบจังๆ เมื่อครั้งสู้รบอยู่ในป่า ต่อมาได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในลำคอ เขามีลูก 4 คน ในนั้น 2 คนเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด บุตรชายคนหนึ่งคือ นายดั่งวันเซิน (Dang Van Son) รอดชีวิต แต่ร่างกายพิการ เช่นเดียวกับหลานสาวของเขา.  -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
22
<FONT color=#000033>ภาพถ่ายและประกาศนียบัตรการศึกษา ของนายดว่าน หง็อก อเวียน (Doan Ngoc Uyen) กับ นางเลถิถาว (Le Thi Thao) ซึ่งเคยเป็นทหารกันทั้งสองคน แขวนประดับผนังห้องที่บ้าน จ.ถายบี่ง นายอเวียนล้มป่วยมาหลายปี ลูกสาวเพียงคนเดียวคือ ดว่านถิห่มง์กาม (Doan Thi Hong Gam) เกิดมาทุพลภาพ และ ป่วยด้วยอาการทางจิต ทุกฝ่ายล้วนกล่าวว่า เป็นผลจากบิดาเคยโดนฝนเหลืองของสหรัฐ ตั้งแต่ครั้งสงคราม.  -- Damir Sagolj/Reuters. </font></b>
23
<FONT color=#000033>นายโด๋ดึ๊กดิว (Do Duc Diu) อดีตทหารกองทัพเวียดนามเหนือ สวดมนต์ที่สุสานครอบครัวใน จ.กว๋างบี่ง ซึ่งเขาฝังลูกๆ จำนวน 12 คนจากทั้งหมด 15 คนที่นี่ ทั้ง 12 คนตายตั้งแต่ยังเล็กๆ ปัจจุบันยังมีลูกสาวอีก 2 คนที่มีปัญหาสุขภาพอย่างรุนแรง และ เขาได้เตรียมหลุมฝังศพไว้อีก 2 หลุมพร้อมแล้วในที่แห่งเดียวกันนี้ ในช่วงสงครามนายดึ๊กดิวอยู่ในเขตที่สหรัฐโปรยฝนเหลือง แต่กว่าจะรู้จักเกี่ยวกับพิษภัยของสารพิษก็จนกระทั่งปี 2537 เมื่อลูกคนสุดท้ายเกิด เขากล่าวว่าหากรู้เรื่องนี้มาก่อน เขากับภรรยาคงจะไม่ยอมมีลูก เพื่อจะได้ไม่เป็นเช่นนี้. -- Reuters/Damir Sagolj.   </font></b>
24
<FONT color=#000033>ที่นี่อยู่ในบริเวณท่าอากาศยานด่าหนัง (Danang) เคยเป็นคลังเก็บ Agent Orange ในช่วงสงคราม โชคดีที่เวียดนามได้กลับมามีความสำคัญยิ่งยวดต่อสหรัฐอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดความขัดแย้งกรณีทะเลจีนใต้ ทำให้สหรัฐกลับเข้าไปช่วยเวียดนามเก็บกวาดสารพิษ และ จัดเป็นบริเวณ กักกัน ขึ้นที่นี่ ซึ่งสามารถมองเห็นจากเครื่องบิน ทุกครั้งที่บินขึ้นลง งาน เก็บทำความสะอาด เพิ่งจะแล้วเสร็จเมื่อปี 2555. -- Reuters/Damir Sagolj.   </font></b>
25
<FONT color=#000033>ภาพจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกองทัพอากาศสหรัฐ แสดงให้เห็นเครื่องบิน ซี-123บี โพรไวเดอร์ โปรยฝนเหลืองในช่วงสงครามเวียดนาม เป็นปฏิบัติการทางทหาร ภายใต้รหัสที่เรียกกันว่า Operation Ranch Hand ข้อมูลของกองทัพอากาศสหรัฐ ระบุว่าช่วงปีโน้นมีการบินไปโปรยสารเคมีกำจัดใบไม้ชนิดนี้ไม่น้อยกว่า 20,000 เที่ยว แต่นี่ก็ไม่ใช่ตัวเลขทั้งหมด.</font></b>
26
<FONT color=#000033>แผนที่ทำขึ้นจากการศึกษาโดยคณะนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แสดงให้เห็นพื้นที่ทั่วเวียดนามใต้เมื่อก่อน ที่ถูกสหรัฐนำสารเคมีกำจัดใบไม้ไปโปรยในช่วงสงคราม ซึ่งแต่ละพื้นที่มีปริมาณหรือความหนาแน่นมากน้อยต่างกัน. </font></b>
27
<FONT color=#000033>ภาพจากหนังสือของ R W Trewyn, Ph D แสดงให้เห็น ฮิวอี้ เฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ กำลังโปรยฝนเหลืองในเขตป่าและนาข้าวของราษฎรในเวียดนามใต้เมื่อก่อน จากพื้นที่ป่า ทั้งป่าเบญจพรรณ และ ป่าโกงกางชายทะเล ป่าแสมในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง การโปรยสารทำลายใบไม้ ได้เลยเข้าสู่นาข้าว กับพื้นที่การเกษตรต่างๆ โดยอ้างเพื่อตัดเสบียงอาหารของฝ่ายเวียดกงและเวียดนามเหนือ สารพิษจากฝนเหลือง ยังส่งอิทธิพลข้ามรุ่นมาจนถึงทุกวันนี้. </font></b>
28
กำลังโหลดความคิดเห็น