xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ไม่ฝืนลุกจากเก้าอี้ ปล่อยร่าง รธน.ตามธรรมชาติ รับยังผูกพันโรงเรียนนายร้อยฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(แฟ้มภาพ)
“ประยุทธ์” เผยหลังร่วมงานวันพระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยฯ รับผูกพัน คงเป็นพี่น้องกัน ย้ำเติบโตกองทัพต้องมาตามลำดับความก้าวหน้า ผบ.ต้องเป็นธรรมทุกคน ยันไม่ฝืนลุกจากเก้าอี้นายกฯ ขออย่าวิตกคว่ำร่าง ชี้ สปช.ออกมาพูดหวังดี สวนไม่เกี่ยวต่ออายุยืดเวลาปฏิรูป รับปล่อยตามธรรมชาติ ติงเล่นการเมืองกันมากไป ปชช.ยังเข้มแข็งไม่พอ แย้ม รธน.เขียนกำหนดนโยบายพรรคต้องแจงการใช้งบจากไหน แต่เชื่อการเมืองไม่เอา

วันนี้ (5 ส.ค.) ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2 รอ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังกลับจากกลับร่วมงานวันพระราชทานกำเนิดนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ครบรอบ 128 ปี ที่ จ.นครนายก ว่าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นสถาบันการศึกษาของพวกเรา หลายคนที่เป็นรัฐมนตรีที่ได้กำเนิดมาจากที่นี่ จึงถือเป็นวันสำคัญของพวกเรา แม้ว่าจะเกษียณอายุมาแล้วแต่เรามีความผูกพันกับโรงเรียนเสมอ เพราะเป็นแหล่งที่สร้างความเข้มแข็งให้แก่เราทั้งร่างกายและจิตใจ และที่สำคัญได้บูชาสักการะพระบรมรูป ซึ่งมีความผูกพันมาก โดยก่อนจะเข้าออกโรงเรียนก็ต้องกราบและกล่าวคำปฏิญาณหน้าพระรูปว่า “ข้าพเจ้าจะรักษามรดกของพระองค์ท่านด้วยเลือด” อาจจะฟังดูหนักแต่ก็ทำให้เรามีความมั่นคงจนถึงทุกวันนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทั้งนี้ได้มีโอกาสพบปะเพื่อนๆ และพี่น้อง ซึ่งแม้จะเป็นคนละยุคคนละสมัย แต่ทั้งหมดคือความผูกพัน ตนถึงบอกว่าการเจริญเติบโตในกองทัพต้องมาตามลำดับ ตามความก้าวหน้าของแต่ละคน แต่ละคนจึงต้องมีการเจริญเติบโตแตกต่างกันไป บางคนประสบความสำเร็จสูงสุด บางคนอยู่ในระดับกลางหรือน้อย ถือเป็นชะตาชีวิตของแต่ละคน ทุกคนจะเท่ากันหมดไม่ได้ แต่เราโตมาด้วยความเคารพกันและกัน ความผูกพันนี้จึงไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ ซึ่งในความเป็นพี่เป็นน้อง ความเป็นผู้บังคับบัญชา เราต้องสร้างความรักความสามัคคีกันให้ได้ และเป็นผู้บังคับบัญชาที่มีคุณธรรม ไม่ใช่เลือกคน เพราะถ้ายิ่งเราเลือกคนมากก็จะไม่ได้ใครเลย จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เพราะกองทัพมีหลายส่วน ซึ่งต่างเจริญเติบโตมาไม่เท่ากัน พื้นฐานต่างกัน ทุกอย่างมีการคัดกรองตั้งแต่ชั้นผู้น้อย จนถึง 5 เสือ ซึ่งถือว่าสุดยอดแล้ว ซึ่งเมื่อก่อนตนคิดว่าเป็น 5 เสือก็ดีแล้ว ไม่ได้คาดหวัง วันนี้ยิ่งมาอยู่ในจุดที่ไม่ได้คาดหวัง

“ทุกอย่างเป็นความผูกพัน ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง การเป็นผู้บังคับบัญชาคนเลือกมากไม่ได้ แต่จะเลือกด้วยความดี ความสามารถ แต่แม้จะมีความสามารถน้อยก็ต้องหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้ไม่ใช่เอาพวกนี้พวกโน้น ผมทำแบบนั้นไม่ได้ จะเห็นว่าที่ผมอยู่เหล่าทัพเป็น ผบ.ทบ.มา 4 ปี ก็ดูแลทุกคน ทุกคนโตไม่เหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องมารวมกันอยู่ดี จะมาจากกองทัพไหนก็เป็นเรื่องโชคชะตา เจริญเติบโตไม่พร้อมกัน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องมารวมเป็นกองทัพบก คัดกรองให้คนให้เหลือน้อยลงๆ มาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน เลือกอย่างอื่นไม่ได้ต้องเลือกวิธีการนี้แหละ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า การทำงานทุกอย่างจะต้องมีความชัดเจนซึ่งรัฐบาลนี้ได้กำหนดว่าเรามีการวางแผนและจะทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร และจบเมื่อไหร่ ถ้าตนลุกออกไปแล้ว มันจะเกิดอะไรมาบ้าง ซึ่งวันนี้ก็ต้องมีการบันทึกไว้ให้ตน ไม่เช่นนั้นคนก็จะมากล่าวหาว่าตนไม่ได้ทำอะไร ซึ่งในความเป็นจริงตนและรัฐบาลได้มีการแก้ปัญหา ทั้งเร่งด่วนเฉพาะหน้า การบริหารราชการแผ่นดินแบบปกติ ซึ่งต้องมีการจัดระเบียบปรับปรุงบริหารจัดการระบบข้าราชการให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ก็ยังมีนโยบายเร่งด่วนที่ต้องริเริ่ม แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำแล้วเสร็จภายในครั้งเดียว ต้องมีการทำต่อเหมือนกับการจัดคิวมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่จัดเสร็จแล้ว แป๊บเดียวก็กลับมาเหมือนเดิม หรือการค้าขายริมทางเท้า ถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็กลับมาอีก เพราะความยากจน ถ้าไม่มีการใช้กฎหมาย ก็ไม่มีการปรับปรุงตัวเอง รัฐบาลก็ต้องเร่งหาว่าทำอย่างไรคนเหล่านี้ถึงจะไม่จน ปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้น หรือ ที่ตนเคยบอกให้หาที่อยู่อาศัยคนไม่มีที่อยู่ คือมีทั้งที่อยู่และที่ขายสินค้า จะได้ไม่กระทบการจราจรและขนส่ง จึงได้มีการสั่งกรให้กระทรวงคมนาคม ไปจัดทำแผนทั้งประเทศ

เมื่อถามว่าถึงวันนี้คิดว่าจะลุกออกจากเก้าอี้ได้หรือไม่ หากมองตามแผนที่วางไว้ โดยยังไม่มองในเรื่องของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมก็ประเมินมาแล้ว ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น และในวันนี้ก็ยังไม่จบ ยังไม่ถึงเวลา เมื่อถึงเวลาก็มีวิธีแก้ไขปัญหาของรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ซึ่งมีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็ต้องร่างใหม่ รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนไม่ใช่ผมเป็นคนร่าง”

เมื่อถามย้ำว่า หากมองแล้วจะสามารถลุกออกจากเก้าอี้ไปได้อย่างง่ายๆ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เมื่อถึงเวลา มันไม่ใช่ว่าจะลุกง่ายหรือไม่ง่าย แต่ถ้ามันจะต้องลุก ก็ต้องลุก ผมจะไปฝืนได้อย่างไร เพราะผมไม่ได้ต้องการอะไร และบอกไว้แล้วว่า ทำงานทั้งหมดก็เพื่อคน 70 ล้านคน ตัวผมเองไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย”

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรกับกระแสข่าวการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คงไม่ได้อะไรถึงขนาดหรอกมั้ง ทุกคนต่างก็มีความคิดเป็นผู้ใหญ่กันทั้งหมดแล้ว ถ้าเขาจะไม่ผ่าน ก็น่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคล และตนคิดว่าบางทีเราไปวิตกกังวลมากไปหรือเปล่า บางคนเขาก็หวังดีพูดนั่นนี่ออกมา แล้วก็มีคนจับไปเป็นประเด็นก็ต้องระมัดระวัง สำหรับตนถือว่าอะไรยังไม่เกิดก็คือยังไม่เกิด

เมื่อถามว่า มีการไปโยงในลักษณะว่าการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นการต่ออายุให้กับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “ทำไมผมจะต้องต่อล่ะ และไม่เกี่ยวว่าจะเพื่อให้มีเวลาในการไปทำเรื่องการปฏิรูป ร่างรัฐธรรมนูญถ้าไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน ถ้าผ่านผมก็ต้องไปตามเวลาของผม ผมก็บอกแล้วว่าผมไม่ได้อยากอยู่นานๆ ผมอยากทำงานให้เสร็จ ในระยะแรกและงานที่ทำจะต้องมีการทำอย่างต่อเนื่อง และใครก็ได้ที่มีเจตนาดีที่จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ดังนั้นถ้าไม่เริ่มแบบนี้ ไม่เริ่มทำตั้งแต่ที่รัฐบาลทำมามันก็คงสายเกินไป แต่ผมก็ไม่ได้ผูกขาดว่าผมจะต้องอยู่เป็นคนทำ ผมไม่ใช่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเพียงคนเดียวในประเทศไทย นักการเมืองเก่งๆ ก็เยอะๆ แต่ถ้าไปมุ่งเน้นการเมืองอย่างเดียว ก็ไปไม่ได้ทั้งหมด เพราะมันไปด้วยกันไม่ได้ ทำอย่างไรให้นักการเมืองทั้งหมดมารวมกันและพูดคุยกันเสียที ไม่ใช่มัวมานั่งบอกว่าปรองดองไม่ได้ ทำไม่ได้ ในเมื่อเป็นคนไทยด้วยกัน ก็ควรจะพูดคุยกันได้ เราทำเพื่อคนไทยวันนี้เราต้องไปด้วยกันก่อนจะได้หรือไม่ เมื่อถึงรัฐบาลหน้าจะมีการเลือกตั้ง ทุกคนก็ไม่ขัดแย้งกันเดินหน้าประเทศไปพร้อมกับการมียุทธศาสตร์ชาติ ใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ทำงานไปตามนโยบายพรรค ผมก็จะนั่งดูเฉยๆ ถ้าทำตามที่เราทำไว้ก็จะต่อเนื่องเชื่อมโยง ผมก็จะสบายใจแต่ถ้าเขาไม่ทำ ผมจะไปทำอะไรเขาได้ เพราะผมไม่มีอำนาจวาสนาตรงนั้นอยู่แล้ว ทุกคนก็ต้องยอมรับทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีต่อไปแล้วกัน”

เมื่อถามว่า แสดงว่าเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติและขั้นตอนใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวยอมรับว่าใช่ แล้วใครจะไปทำอะไร อย่าคิดว่าตนจะไปบังคับ ถ้าจะให้ตนบังคับจริงๆ คงไม่ต้องมีสปช.หรือสนช.เกิดขึ้นมา ตนเป็นคสช.อย่างเดียวนี่แหละ บริหารด้วยอำนาจเต็มไม่ดีกว่าหรือ นี่คือสิ่งที่แตกต่าง การทำงานของตนในครั้งนี้จะดีหรือไม่อย่างไร แต่ส่วนตัวคิดว่ามันต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา ตนพยายามเอาอำนาจที่ตนมีอยู่ให้คนอื่นไปใช้ แล้วพยายามใช้อำนาจพิเศษเพื่อให้ทุกคนมาใช้กฎหมายปกติในการทำงานให้ได้ไม่ใช่มาขัดแย้งด้วยกฎหมาย ดังนั้นการปฏิรูปที่กำลังทำในขณะนี้คือการแก้ไขปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้น ซึ่งยากกว่าการเริ่มใหม่ แต่การแก้ไขในสิ่งที่ล้มเหลว หรือปรับปรุงในสิ่งที่เกือบจะล้มไปแล้วนั้นมันยาก แต่ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อถามว่าแต่ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างไปตามกระบวนการจะทำให้การดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีต้องลุกออกไปเร็วขึ้น สามารถยอมรับได้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แล้วทำไมตนจะรับไม่ได้ อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ตนเป็นคนนำขึ้นทูลเกล้าเอง ตนจะไปฝืนสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ใครจะมาทำให้ตนก็ไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ที่คนไทยทุกคน สปช.เองก็ต้องเคารพในกติกา อย่าลืมว่าวันนี้สปช.ทั้ง 250 คนพูดเหมือนกันหรือไม่ ก็มีบางคนที่พูดด้วยความหวังดี บางทีก็ไม่มีเจตนา ดังนั้นถ้าไปเอาทุกอย่างมาเป็นเรื่องเป็นราวทั้งหมดก็จะเละเช่นนี้ เอาตรงนี้ไปตีกับนักการเมือง เอานักการเมืองไปตีกับ กปปส. เราต้องแยกแยะการทำงานในส่วนของใครเป็นของใคร

“ผมคิดว่าทุกคนมีความหวังดีต่อชาติบ้านเมืองทั้งนั้น แต่ติดที่คำว่าการเมือง วันนี้เราเล่นการเมืองมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าประเทศไทยมีความเท่าเทียม ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ไม่มีความยากจนที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ เล่นการเมืองอย่างไรก็ไปได้ เพราะคนมีความเท่าเทียมและคิดเป็น มีการศึกษา มีเงินทองพออยู่พอกิน ไม่ว่าการเมืองจะเล่นอย่างไร เมื่อประชาชนเข้มแข็งก็ไม่มีปัญหา แต่วันนี้ประชาชนยังมีความเข้มแข็งไม่เพียงพอ ที่ผ่านการเมืองใช้วิธีการ แบ่งแยกและปกครอง (ดีไวด์ แอนด์ รูล) แบ่งคนเป็นพวกๆ ตามคะแนนเสียง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของระบบประชาธิปไตย มีคนแบ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนพรรคการเมืองต่างกัน ถ้าสู้กันด้วยการเมืองโดยไม่มีความรุนแรงก็ธรรมดา แต่ถ้าสู้ทางการเมืองแล้วมีอาวุธเข้ามาเมื่อไหร่ และเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ก็เป็นการเมืองที่ใช้ไม่ได้ มันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ประชาชนอย่าไปร่วมมือกับการกระทำแบบนี้ หรือแม้แต่การรับใช้ก็อย่าไปทำเลย ขอร้องว่าอย่าให้มันเกิดอะไรขึ้นมาอีกเลย ผมเองก็อยากให้การปฏิรูปมันสำเร็จ ซึ่งขอให้เข้าใจว่าผมไม่ได้ผูกขาดในการปฏิรูป แต่จะให้เสร็จในรัฐบาลนี้ก็คงยาก การปฏิรูปที่ผมทำคือทำในระยะที่ 1 จากนั้นรัฐบาลหน้าก็นำผลไปทำซึ่งสปช.วางแนวทางไว้ 11 ด้าน ว่าจะทำอะไรกันบ้าง สิ่งไหนที่ผมทำแล้วก็ไม่ต้องไปทำ แต่สิ่งไหนที่ทำยังไม่เสร็จ หรือต้องทำใหม่ในระยะที่ 2 ก็ต้องไปทำกัน และทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าผมเข้ามาแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย เหนื่อยกันทุกวัน แก้ไขปัญหาทั้งในอดีต การเดินหน้าปัจจุบัน และวางแผนทำเพื่ออนาคตอีก แต่ทุกอย่างจะใจร้อนไม่ได้”

เมื่อถามว่าหลายคนเป็นห่วงว่าหากนายกฯจะลุกออกจากตำแหน่งแล้ว จะไปแบบไม่สนิทใจเพราะงานหลายอย่างยังไม่สำเร็จลุล่วง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไม่ใช่เรื่องของตนแล้ว เป็นเรื่องของประชาชนทุกคนรวมถึงสื่อมวลชนที่ต้องไปช่วยกันทำให้ทุกอย่างมันสงบ ไม่ใช่ให้ตนมานั่งรักษาความสงบตลอดชาติเสียเมื่อไหร่

“ถ้าผมไม่อยู่แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามันจะต้องฆ่ากันเพราะผมไม่อยู่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เพราะผมก็ต้องไป”

เมื่อถามว่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่แต่ละพรรคการเมืองจะมีการเขียนนโยบายที่มีความแตกต่างกันเสนอให้กับประชาชนอยู่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวยอมรับว่า ก็ใช่ และขณะนี้ผู้ที่มีหน้าที่ก็กำลังเขียนรัฐธรรมนูญอยู่ เท่าที่ทราบระบุว่า การกำหนดนโยบายพรรคต่างๆ จะต้องมีการชี้แจงล่วงหน้ารวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณต้องมีการแถลงว่าจะนำมาจากไหน แต่ฝ่ายการเมืองเองก็ไม่น่าจะรับ เพราะเหมือนกับไปบังคับเขา ซึ่งอยากถามว่าสถานการณ์ขณะนี้ควรต้องทำแบบนี้หรือไม่ ก็ต้องไปตัดสินกันเอง ตนบอกแล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เหมือนกับฉบับอื่นๆ หากถามว่าตนเห็นด้วยหรือไม่ที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้เช่นนี้ ตนก็ตอบยากเพราะตนไม่ใช่นักการเมือง จึงไม่รู้ อย่างวันนี้ที่เข้ามามีเงินงบประมาณเท่าไหร่ ตนก็ทำเท่านั้น สิ่งใดที่จำเป็นก็ทำก่อน และไม่ต้องคิดว่า จะเอาเงินไปไหน เพียงแต่คิดว่าทำอย่างไรจะให้เงินเหล่านั้นเกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด แต่หากเป็นนักการเมืองจะคิดเช่นนี้หรือเปล่า ตนก็ไม่ทราบ ขอร้องว่าวันนี้อย่าเอาตนไปขัดแย้งกับใครเลย


กำลังโหลดความคิดเห็น