ป้อมพระสุเมรุ
ตามคิวที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ออกมาสำทับหนักแน่นว่า “คนที่เป็นนักการเมืองอย่าเพิ่งเข้ามาตอนนี้ ชัดเจน อย่าไปเขียนกันให้เลอะเทอะ เวลาผมทักทายคนก็ทักทายทั่วไป ไปเขียนกันเป็นเรื่องเป็นราว ว่าจะเอาคนนั้นคนนี้มา จะมารู้ใจผมได้อย่างไร”
ส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายรับทราบชัด! ฟลอร์นี้ยังเป็นเวลาของ “ลายพราง” ไม่ใช่ “นักการเมือง”
การปรับครม.ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงน่าจะเป็นการสลับหมุนเวียนขุนทหาร และดึง “ผู้เล่น” หน้าใหม่ที่อยู่ในฝ่ายของตัวเองมากู้วิกฤตมากกว่า ยังไม่จำเป็นต้องพึ่งบริการ “นักการเมือง” เพื่อมาประจานตัวเองว่า มือไม่ถึง พายเรือพาประเทศไปไม่รอด จนต้องดึงนักการเมืองมาช่วยกอบกู้สถานการณ์
ทว่า มันก็เป็นเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า ปฏิเสธนักการเมืองตลอดไป เพราะ “บิ๊กตู่” เน้นว่า “อย่าเพิ่งเข้ามาตอนนี้” ดังนั้น เมื่อถึงเวลา บรรดานักการเมืองก็จะกลับสู่ “ฟลอร์” ที่ คสช.จัดเตรียมไว้ให้หลังจากลงจากอำนาจแล้ว
หลายคนสนใจเหมือนกันว่า “ฟลอร์” ที่ คสช.ออกแบบทิ้งไว้ให้จะเป็นแบบนี้ นอกเหนือจากหน้าตาที่เดาได้จากร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. … ที่ “อาจารย์ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และทีมงาน รับหน้าที่เป็น “ดีไซเนอร์” ออกแบบกันอยู่
ที่ผ่านมีการโยนหินถามทางออกมาหนึ่งสูตร จะให้ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) รับไม้ต่อ “บิ๊กตู่” เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี กุมนาวา “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่มีนักการเมืองหลายขั้วหลายสีเป็นองคาพยพ ในช่วงที่การเมืองยังไม่สะเด็ดน้ำ นิ่งสงบ
แม้คนในรัฐบาลจะออกมาปฏิเสธเป็นโทนเสียงเดียวกัน แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า เหล่า “ท็อปบูต” ยังไม่ไว้วางใจสถานการณ์หลังจากตัวเองลงหลังเสือไปแล้วว่า จะกลับมาวุ่นวายเหมือนเดิมอีกหรือไม่
ในสภาวะที่สารพัดสูตรถูกประโคมโยนออกมา ทำให้มีการมองว่า มีใครบางคนพยายามจะทำให้การเมืองหลัง คสช.ลาโรงไปแล้วสงบนิ่ง แม้แต่วิธีการ “ต่อรอง” หรือ “เกี๊ยเซี๊ยะ” ก็ตาม
ท่ามกลางเสียงซุบซิบเหล่านั้น ก็มาพร้อมๆ กับการปรากฏตัวบนหน้าฉากอีกครั้งของ “เจ้าแม่วังทองหลาง” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้กุมคุมกำลังก๊ก ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย หลังมีข่าวว่า “เจ๊หน่อย” และ “บิ๊กผิว” พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรี ใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ที่คุมก๊ก ส.ส.อีสานบางส่วน ไปหารือกับ “แกนนำ คสช.” เพื่อจัดตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” กันที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
แม้ “เจ๊หน่อย” จะปฏิเสธข่าวดังกล่าว และปฏิเสธที่จะร่วม “รัฐบาลแห่งชาติ” แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแบบตัดเยื่อใย “ดิฉันเติบโตมาจากสายเลือกตั้ง สายประชาธิปไตย ตอนนี้เอาใจช่วยเค้าในการทำงาน ทุกเรื่อง แต่จะไม่เข้าไปเป็นอันขาด เพราะขัดกับจุดยืนตัวเอง“
มีวงเล็บ “เอาใจช่วย” ไม่เหมือนกับแกนนำพรรคเพื่อไทยคนอื่นๆ ที่โขกสับอย่างเดียว ไม่ขอสังฆกรรมกับเผด็จการไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
เรื่องของเรื่องชื่อของ “เจ๊หน่อย” เองก่อนหน้านี้ก็เคยมีกระแสว่า เป็นหนึ่งในแกนนำพรรคเพื่อไทยที่มีสิทธิ์จะขนข้าวขนของไปร่วมงานกับ “รัฐบาลทหาร” หาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะจัดตั้งพรรคหลังสลัดคราบ คสช. ร่วมกับอดีตนักการเมืองเขี้ยวลากดิน ไม่ว่าจะเป็น “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ” เนวิน ชิดชอบ พ่อใหญ่แห่งค่ายภูมิใจไทย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้
ขณะเดียวกัน “เจ๊หน่อย” เองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ “บิ๊กป้อม” สามารถที่จะต่อกันติดหากจะร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองทางเลือกใหม่
ข่าวที่ออกมายังไปไกลถึงว่า จะมีการผลักดันให้ “เจ๊หน่อย” เป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่งของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งคราวหน้า
ยิ่งในจังหวะเดียวกันระหว่างงานมงคลสมรสของบุตรชาย “สมคิด” ที่มีนักการเมืองชื่อตบเท้ามาร่วมงานกันพรึ่บพรั่บ ก็ยิ่งทำให้ถูกจับตา โดยเฉพาะประธานงานอย่าง “บิ๊กตู่” ที่ยาหอม “สมคิด” ในฐานะเจ้าภาพไม่พอ ยังหยอดไปถึง “เจ๊หน่อย” ออกไมค์ให้ได้ยินกันดังๆด้วย
“ต้องการให้ประเทศเดินหน้าไปได้ อยากให้มีแต่เสียหัวเราะแบบในวันนี้ ขออย่ากลับมาทะเลาะกันอีก คนไทยเก่งทุกคน คุณหญิงสุดารัตน์ก็เดินทางมา ผมรู้จักมานานแล้ว ตั้งแต่ยศพันตรี จึงอยากให้เตรียมเดินหน้าประเทศเพื่อคนรุ่นใหม่ อยากให้ทุกคนจับมือกัน ลืมความบาดหมางเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น คดีความต่างๆ ก็ขอให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
ในทางการเมืองถือว่า นี่คือการ “ผูกมิตร” แตะมือกันไว้หลวมๆไม่ให้ประเจิดประเจ้อ
แน่นอนว่า แม้จะไม่มีใครกล้าออกมายอมรับว่า สูตรดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่หากมองเจตนาแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงการพยายามต่อรองกันระหว่าง “ท็อปบูต” และนักการเมืองอาชีพ โดยเฉพาะค่ายเพื่อไทย เพื่อให้การเมืองหลังจากนี้เป็นไปในลักษณะของการรอมชอมกันมากขึ้น
ในช่วงที่ยังไม่รู้แน่ว่า มือดีปล่อยข่าวเป็นใครและจากฝั่งไหน แต่อย่างน้อยๆ ก็ทำให้แกนนำและคนในพรรคเพื่อไทยเกิดอาการระแวงกันเอง หลังจากเหนียวแน่นกันมานาน แม้แต่ในช่วง คสช.เข้ายึดอำนาจ ที่นักการเมืองหลายคนในขุมข่ายตัวเองโดนไล่ต้อนเช็กบิลก็ยังไม่หนีจากไปไหน
ช่วงที่ผ่านมา มีผู้มีบารมีในรัฐบาลพยายาม “จับปลาแยกน้ำ” อยู่หลายหน เพื่อทำให้แต่ละก๊กแต่ละเหล่าในพรรคเพื่อไทยกระจัดกระจายกันไป แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะยังเกาะกลุ่มกันแน่นเพื่อรอเวลากลับมาบนสังเวียนการเมือง ในวันที่ คสช.ไม่อยู่แล้ว เพราะยังเชื่อในความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ของ “พ่อแม้ว” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังเป็นจุดขายกับชาวบ้าน
ข่าวการปรากฏตัวของ 2 แกนนำคนสำคัญของพรรค ทั้ง “บิ๊กผิว - เจ๊หน่อย” กับ “บิ๊ก คสช.” ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา จึงน่าจะทำให้เกิดอาการหวาดระแวงว่า พรรคพวกในพรรคจะถูกดูดเหมือนกับสมัย “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่มีการช้อน ส.ส.เข้าไปร่วมกันอยู่พรรคสีเขียวในนาม “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ในอดีต
จะว่าไปข่าวลือต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจกำลังส่งสัญญาณให้เห็นว่า ขณะนี้มีความพยายามจะ “ต่อรอง” กัน สำหรับเวทีการเมืองที่จะเกิดขึ้น หลัง คสช.ออกแบบ “ฟลอร์” ให้นักการเมืองเล่นเสร็จแล้ว
จะเป็นในลักษณะรัฐบาลแห่งชาติ รัฐบาลผสม หรือรัฐบาลปรองดอง ก็แล้วแต่ แต่จะยังมีร่างเงาของ คสช.คอยกดทับเอาไว้ ซึ่งอาจจะเป็น “บิ๊กป้อม” ผู้มากคอนเนกชั่น เป็นคนบริหารจัดการการเมืองทั้งสองขั้ว ให้พอคลานไปได้
จับสัญญาณแล้วไม่น่าจะเอาเป็นเอาตาย อยู่ที่ว่า ข้อตกลงบนโต๊ะเจรจา ทุกฝ่ายเซย์เยสหรือไม่.