อดีต ส.ส.กทม.ประชาธิปัตย์ สวนอดีต รมว.คลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ย้ำทำหนี้สาธารณะเพิ่ม 1.2 ล้านล้านบาท แถมหนี้ครัวเรือนพุ่งจากเดิมถึงเกือบ 3 หมื่น สับช่างกล้าอ้างจีดีพีพุ่ง ซัดพูดความจริงครึ่งเดียวสมฉายาไวต์ลาย ฉะไม่เคยรับผิดทำชาติเสียหายจากรับจำนำข้าว และนโยบายรถคันแรก ทำเกิดกลไกตลาดเทียม แถมซุกหนี้ไว้ที่ ธ.ก.ส. แนะรัฐบาลปรับ รองนายกฯ เศรษฐกิจออก ไร้นโยบายเชิงรุก ไม่รู้เท่าทันเศรษฐกิจ
วันนี้ (21 ก.ค.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงตอบโต้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.คลังและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กรณีกล่าวหาตนโกหกจากการให้ข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์สร้างหนี้สาธารณะมโหฬารว่า ตนไม่แปลกใจว่าทำไมนายกิตติรัตน์จึงได้ชื่อว่าเป็นคนโกหกสีขาว เพราะเป็นคนพูดความจริงไม่หมด ทั้งนี้ ตนขอนำตัวเลขทางเศรษฐกิจมายืนยัน ดังนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารประเทศในปี 2554 ตัวเลขหนี้สาธารณะอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านบาท พ้นตำแหน่ง 2556 ตัวเลขหนี้สาธารณะอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านบาท นี่คือความน่าอับอายของท่าน เพราะรัฐบาลเดียวสร้างหนี้ 1.2 ล้านล้านบาท และหนี้ครัวเรือนก็กระโดดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 159,432 บาท เพิ่มเป็น 188,774 บาทต่อครัวเรือน คือเพิ่มขึ้นถึง 29,342 บาท เพิ่มแบบก้าวกระโดดถึง 18.4% ส่วนกรณีที่นายกิตติรัตน์อ้างว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้จีดีพีโตนั้น ความจริงคือ การนำตัวเลขจีดีพีในช่วงหลังน้ำท่วมที่มีการฟื้นฟูจนจีดีพีอยู่ที่ 6.5 จากปี 2554 ที่จีดีพีอยู่ที่ 0.1% จากนั้นลดลงเรื่อยๆ จนในปี 56 อยู่ที่ 2.9 จึงแปลกใจที่นายกิตติรัตน์กล้านำเรื่องนี้มาอ้างเป็นผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว
นายอรรถวิชช์กล่าวว่า นอกจากนี้โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังสร้างความเสียหายอย่างมากและนายกิตติรัตน์เคยระบุว่า หากขาดทุนเกิน 6 หมื่นล้านมากกว่าโครงการประกันรายได้รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้ สุดท้ายโครงการดังกล่าวสร้างความเสียหายกว่า 7 แสนล้าน จนประชาชนออกมาไล่ แต่กลับไม่เคยรับผิดชอบตามที่ตัวเองเคยพูด อ้างแต่ว่ายังไม่ปิดบัญชี ยังไม่มีความเสียหาย อีกทั้งยังมีนโยบายรถยนต์คันแรกที่สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์เพราะไปแทรกแซงกลไกตลาดทำให้เกิดกำลังซื้อเทียม สร้างหนี้ครัวเรือนเพิ่ม และใช้เงินภาษีประชาชนถึง 9 หมื่นล้าน ซึ่งสามารถนำไปสร้างโรงพยาบาลอย่างดีได้ถึง 20 แห่ง
นายอรรถวิชช์กล่าวด้วยว่า กรณีงบประมาณประจำปี ที่นายกิตติรัตน์ อ้างว่าลดภาระได้นั้น แท้จริงแล้วเป็นการซุกหนี้ไว้นอกงบประมาณ คือ รัฐวิสาหกิจ โดยที่หนักสุดคือ ธ.ก.ส. ซึ่งต้องมีการเพิ่มวงเงินตลอดจนสุดท้ายไม่มีเงินจ่ายชาวนา เพราะไม่ขายข้าวตามปกติ แต่ขายจีทูจีปลอมให้กับรัฐวิสาหกิจมณฑลกวางตุ้งที่นำเข้าเครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา GSSG ซึ่งไม่มีใบอนุญาตนำเข้าข้าวไปจีน แต่ข้าวที่รัฐบาลขายไปถูกนำมาวนขายภายในประเทศ โดยรับจำนำข้าวเปลือกที่ 15,000 บาทต่อตัน แต่ไปขายเป็นข้าวสารที่สีแล้วในราคาเพียง 10,000 บาทต่อตันเท่านั้น
“ผมอยากบอกว่าหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ดีจะทำให้นายกรัฐมนตรีมีบารมีและพาชาติรุ่งเรือง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่แย่แย่ทำให้นายกรัฐมนตรี ตกต่ำและชาติฉิบหาย ซึ่งลึกๆ แล้วนายกิตติรัตน์น่าจะทราบดี” นายอรรถวิชช์กล่าว
นายอรรถวิชช์ยังกล่าวถึงกระแสการปรับ ครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าต้องยอมรับว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี่ยังดีกว่าทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ถ้าต้องการปฏิรูปต้องเปลี่ยนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจซึ่งมีโอกาสบริหารเศรษฐกิจหลังการรัฐประหารสองยุคคือ ยุค คมช.และคสช. แต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ทำได้แค่ประคับคองเศรษฐกิจเท่านั้น เพราะว่าไม่มีนโยบายในเชิงรุกและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ทันท่วงที ทั้งเรื่อง ประมง และกรณีปัญหา ICAO เรื่องการบินขึ้นธงแดงประเทศไทย เพราะไม่มีการเดินเกมล่วงหน้า ไม่มีการเตรียมความพร้อม หากไม่รีบดำเนินการจะกระทบกับอาหารแช่แข็งและเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นว่านโยบายเศรษฐกิจไม่รองรับการปฏิรูป
นายอรรถวิชช์ยังได้ยกตัวอย่างยุทธศาสตร์ของจีนในการสร้างเส้นทางสายไหมใหม่ในปี 2013 โดยปรับไปด้านการเดินเรือทำให้ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องรถไฟความเร็วสูงจึงทำให้ไม่สนใจเรื่องร่วมลงทุนกับไทยในโครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-หนองคาย แต่รัฐบาลชุดนี้กลับไม่เท่าทันกับการปรับเปลี่ยนแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน