ผ่าประเด็นร้อน
สังเกตหรือไม่ว่า ในระยะหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มมีแรงกดดันเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ชนิดที่เรียกว่าหายใจหายคอแทบไม่ทันเลยทีเดียว ประเภทที่เรียกว่าเรื่องเก่ายังแก้ไม่ตก ดันมีปัญหาใหม่ประดังเข้ามาแล้ว แต่ละเรื่องมีแต่เรื่องที่มีแนวโน้มสาหัสทั้งสิ้น กลายเป็นว่าหากไม่อาจคลี่คลายปัญหาที่ว่าให้บรรเทาลงไปก็จะเริ่มทำให้เขาอยู่ในภาวะลำบากมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน เพราะปัญหาแต่ละเรื่องล้วนมีผลผูกพันกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้องใกล้ตัวชาวบ้านทั้งสิ้น
แน่นอนว่าในเวลานี้เรื่องความมั่นคงยังสามารถพอควบคุมได้ เพราะใช้ “กฎหมายพิเศษ” บังคับเอาได้ แต่อย่างไรก็ดี ทุกอย่างมันย่อมมีระยะเวลา ไม่อาจบังคับหรือขอร้องให้หยุดเคลื่อนไหวได้นานเกินไปได้ และที่สำคัญเราไม่รู้ว่าจะปะทุขึ้นมาวันไหน หากมี “เงื่อนไขที่คาดไม่ถึง” มันก็น่าห่วงเหมือนกัน ที่ผ่านมาก็มีความพยายามสร้างขึ้นมาตลอด เพียงแต่ว่า “ยังจุดไม่ติด” เท่านั้นเอง ดังกรณีของพวกเด็กๆ นักศึกษาออกมาจุดไฟก่อนหน้านี้นั่นแหละ
อย่างที่บอกว่าเที่ยวนี้น่าเป็นห่วงก็คือเรื่องปากท้อง ที่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าหลายเรื่องไม่เป็นใจ และหนักหนาสาหัสนอกเหนือการควบคุม โดยเฉพาะ “ปัจจัยภายนอก” จากวิกฤตเศรษฐกิจประเทศกรีซ ที่แม้ว่าประเทศสหภาพยุโรปมีมติยอมปล่อยกู้งวดที่ 3 อีกล็อตใหญ่ไปให้ แต่มันไม่ง่ายเพราะมีแนวโน้มจะเกิดปัญหาภายในกรีซที่ผู้นำของเขาจะโดนข้อหา “ทรยศต่อความไว้วางใจ” เสี่ยงตกเก้าอี้ อาจยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่ วิกฤตไม่สิ้นสุด
แต่ที่ใกล้ตัวและกระทบต่อไทยโดยตรงก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจในจีน ที่แม้ยังไม่ใช่วิกฤต แต่แค่จีนเติบโตน้อยนั่นก็ย่อมกระทบกับเราใหญ่หลวงแล้วนั่นคือเราจะส่งออกได้น้อยหรือไม่ได้
ปัญหาเรื่ององค์การการบินระหว่างประเทศที่กำลังจะชี้ชะตากันว่าจะผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินหรือไม่ ล่าสุดสำนักบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (เอฟเอเอ) ได้เข้ามาตรวจมาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านการบินของกรมการบินพาณิชย์ และบริษัทการบินไทย ที่เป็นสายการบินเดียวที่มีเที่ยวบินเข้าสหรัฐฯ ในเวลานี้ ซึ่งจะทราบผลภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย ที่ถูกสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีเอาไว้และขีดเส้นให้แก้ไขให้ทันตามกำหนด ซึ่งอีกไม่นานก็จะทราบผลกันแล้ว
แต่ละเรื่อง ทั้งวิกฤตกรีซ เศรษฐกิจจีนถดถอย มาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน การปัญหาด้านการค้ามนุษย์และเรื่องประมงผิดกฎหมาย ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจภายในโดยเฉพาะเรื่องการส่งออก
ล่าสุดยังต้องมาประสบกับวิกฤตภัยแล้งซ้ำเติมเข้ามาอีก ซึ่งเรื่องนี้ย่อมกระทบกับชาวบ้านระดับล่างล้วนๆ เพราะในความเป็นจริงคนไทยมีอาชีพด้านการเกษตรกว่าร้อยละ 80 เมื่อเจอแล้งขาดน้ำ มันก็ไม่อยากหลับตานึกภาพเลยว่ามันจะเลวร้ายขนาดไหน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาอนาคตที่จะต้องตามมาแน่นอนก็คือปัญหาสังคม อาชญากรรมประเภทลักวิ่งชิงปล้น เป็นสูตรสำเร็จอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อหันไปมองรัฐมนตรีทั้งคณะ กลับเห็นว่าเหมือนมีอยู่คนเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยืนแลกหมัดอยู่เดียวดาย คนอื่นๆ แทบจะไม่มีบทบาท หลายคนไม่เคยรู้จักว่ามีคนชื่อแบบนี้เป็นรัฐมนตรีร่วมอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ แม้ว่าพิจารณาจากผลสำรวจที่ออกมาส่วนใหญ่ยังออกมาตรงกันว่าให้โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะออกมาตรงกันว่ามีปัญหาเรื่องปากท้อง-ของแพงมากที่สุด การใช้ชีวิตลำบากกว่าเดิม เสียงสะท้อนแบบนี้แหละน่าห่วง เพราะจะทำลายความเชื่อมั่นและความศรัทธาลงทุกวัน
แม้ว่าปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาต้องยอมรับความจริงกันว่าเป็นเรื่องภายนอกที่เหนือการควบคุม รวมไปถึงเรื่องภัยธรรมชาติ และยังเป็นปัญหาที่หมักหมมมาจากพวกนักการเมืองขี้ฉ้อในอดีต แต่ชาวบ้านเขาไม่เข้าใจและไม่ฟังหรอก อาจจะฟังได้ในช่วงแรกๆ แต่นานไปจะอ้างแบบเดิมๆ อาจสร้างความรู้สึกทางลบขึ้นมาก็ได้ เพราะกลายเป็นว่าดีแต่กล่าวโทษคนอื่น
จากเดิมที่เคยมีเสียงสะท้อนจากชาวบ้านในแบบที่ว่า “เอาไงเอากัน” แล้วแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเห็นสมควรว่าจะ “ยืดเวลาโรดแมป” ออกไปได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ความจำเป็น แต่ในเวลานี้เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นใจ แนวโน้มมีแต่ “ทรงกับทรุด” แม้ว่าในอนาคตหากต้องเจอกับนักการเมืองห่วยแตกหลังการเลือกตั้งก็ตาม แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสภาพที่เป็นอยู่ที่ยังมีคณะรัฐมนตรีแบบเดิมอยู่ในเวลานี้ มันก็น่าหนักใจเหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม แรงกดดันก็เพิ่มมากขึ้น ในตอนแรกอาจจะยอมเดินตามหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา แบบไม่มีข้อแม้ และแม้ว่าความรู้สึกที่จับอารมณ์ได้ในเวลานี้จะไม่ใช่การปฏิเสธตัวเขา เพียงแต่เริ่มมีความเห็นแล้วว่าให้รีบจัดการให้เร็วขึ้น รวมไปถึงความเป็นไปได้ให้หดเวลาโรดแมปลงมาให้เร็วขึ้นก็ยิ่งดี!!