ศูนย์ข่าวศรีราชา - คาดการท่องเที่ยวตะวันออกบูมสุดขีด หลังรัฐเอาจริงดัน “อู่ตะเภา” เป็นสนามบินพาณิชย์นานาชาติแห่งที่ 3 ของประเทศ ด้าน ทร.ยันประสบการณ์กว่า 30 ปี บริหารจัดการได้อย่างมีคุณภาพ ชี้อนาคตขยายแผนรองรับผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี
พล.ร.ต.วศินสรรพ์ จันทวรินทร์ ผู้บัญชาการกองการบินทหารเรือ และผู้อำนวยการการท่าอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนการพัฒนาอู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของประเทศ ในการบรรยายผลสรุปทิศทางการท่องเที่ยวให้แก่องค์กรภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา ที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พัทยา จัดขึ้นที่โรงแรมเมอร์เคียว พัทยา จ.ชลบุรี ว่า สำหรับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ถูกยกฐานะให้เป็นสนามบินพาณิชย์มาตั้งแต่ปี 2519 ในการดูแลของกองทัพเรือ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 17,600 ไร่
โดยถูกจัดสรรเป็นพื้นที่จอดเครื่องบิน 49 หลุม ที่รองรับสายการบินได้กว่า 6.2 หมื่นเที่ยวต่อปี และอาคารผู้โดยสาร ที่สามารถรองรับผู้โดย สารได้กว่า 8.7 แสนคนต่อปี แต่พบว่า ปัจจุบันยังมีสายการบินที่มาใช้บริการทั้งในลักษณะ Schedule และ Charter Flight เพียง 1 หมื่นกว่าเที่ยวบิน และผู้ใช้บริการเพียง 1 แสนคนต่อปีเท่านั้น
และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่พบว่า สนามบินพาณิชย์แห่งชาติ 2 สนามบินหลักได้แก่ สุวรรณภูมิและดอนเมืองนั้นเริ่มมีความแออัดมากขึ้น โดยจากการคาดการณ์นั้นระบุว่า ในปี 2567 ทั้ง 2 สนามบินหลักจะมีผู้ใช้บริการสูงกว่า 120 ล้านคนต่อปี โดยแบ่งเป็น 80 ล้านคน ในพื้นที่สุวรรณภูมิ และ 40 ล้านคน ในพื้นที่ดอนเมือง ภาครัฐจึงมีแนวคิดในการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของประเทศ เนื่องจากมีความเหมาะสมทางด้านกายภาพ และภูมิศาสตร์ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ คณะการจัดทำระบบโครงสร้างพื้นฐานและเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม และคณะกรรมการส่วนวางแผนธุรกิจเพื่อส่งเสริมกิจการของท่าอากาศยานอู่ตะเภา
ปัจจุบัน สนามบินอู่ตะเภาได้รับงบประมาณสนับสนุนในการจัดสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ ในพื้นที่กว่า 65 ไร่ ซึ่งเป็นอาคารที่ทันสมัยตามคอนเซ็ปต์ Modern Terminal ที่สามารถรอบรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคนต่อปี หรือ 1,500 คนต่อชั่วโมง ซึ่งอาคารนี้ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก และมีแผนจะส่งมอบเพื่อเปิดดำเนินการได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ถึงมีนาคม 2559
นอกจากนี้ ยังมีการขยายหลุมจอดเครื่องบินเพิ่มเติมอีก 3 หลุม พร้อมสะพานเทียบเครื่องบินแบบสากลอีก 2 เครื่อง รวมทั้งการประสานงานร่วมกับด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อรองรับการบริการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบ และสมกับเป็นสนามบินพาณิชย์ระดับชาติแห่งใหม่
พล.ร.ต.วศินสรรพ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญที่ต้องเร่งรัดดำเนินการคือ กรณีของระบบคมนาคมที่เชื่อมโยงการเดินทางในภูมิภาค และส่วนกลาง เพื่อสนองนโยบายการพัฒนาให้เป็น “Hub” ในภูมิภาคตะ วันออก โดยจากการหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคม ก็มีแผนในการพัฒนาอย่างครอบคลุมทุกด้าน เริ่มจากทางบก ที่มีแผนการพัฒนาเส้นทางถนนสาย 331 ขยายเพิ่มเป็น 4 ช่องจราจร เชื่อมต่อจากถนนสาย 36 ถึงถนนสุขุมวิท กม.10 รวมทั้งระบบรางอย่างรถไฟความเร็วสูงเส้นทาง กทม.-พัทยา-มาบตาพุด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ในเร็ววันนี้
นอกจากนี้ ยังมีระบบการขนส่งทางน้ำในรูปแบบเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน เส้นทางสัตหีบ-หัวหิน ในพื้นที่ท่าเรือจุกเสม็ด อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งจะสามารถสนองตอบการเดินทางได้ทุกรูปแบบอย่างครอบคลุม
ขณะที่แผนการพัฒนานั้นกำหนดให้ดำเนินการใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ที่กำหนดแล้วเสร็จในปี 2560 ที่จะมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคน/ปี ระยะกลาง แล้วเสร็จในระหว่างปี 2560-2563 ที่จะเพิ่มศักยภาพการรองรับผู้โดยสารให้ได้ 5 ล้านคนต่อปี และระยะยาว หลังปี 2563 ที่มีแผนการพัฒนาศักยภาพให้ถึงขีดสุด ส่วนแผนงานอื่นๆ นั้นขณะนี้เริ่มมีการประชาสัมพันธ์ และจัดทำแผนการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดี
และมีสายการบินพาณิชย์ประสานเพื่อเปิดเส้นทางบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น Bangkok Airway, Nordwind Airline, KarnAir หรือ Air Asia ซึ่งจะมีทั้งการเดินทางเชื่อมโยงทั้งภายในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับสนามบินอู่ตะเภานั้นยังคงต้องอยู่ในการดูแลของกองทัพเรือ เนื่องด้วยเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางด้านความมั่นคง จึงต้องจัดแผนการพัฒนาให้เป็นแบบ 2 ระบบในรูปแบบ One Airport Two Mission แต่จากประสบการณ์การทำงานของกองทัพเรือในการบริการสนามบินพาณิชย์มาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ยืนยันได้ถึงศักยภาพที่จะผลักดันให้สนามบินมุ่งไปสู่ความเป็นสากลอย่างสูงสุดในอนาคตอย่างแน่นอน