วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ( 5 ก.ค.) คนกรีก ลงประชามติ ไม่ยอมรับมาตรการรัดเข็มขัด ของกลุ่มยูโร ประเทศเจ้าหนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับ เงินกู้ก้อนไหม่ ด้วยคะแนนเสียง 61% ต่อ 39 %
วันอาทิตย์นี้ ( 12 ก.ค.) เป็นคิวของเจ้าหนี้ที่จะตัดสินใจว่า จะต่ออายุ ยืดลมหายใจของลูกหนึ้หรือไม่
การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มอียู เพื่อพิจารณาแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลกรีซ วันอาทิตย์นี้ เป็นการประชุม ประเทศสมาชิกอียู 28 ประเทศ ไม่ใช่การประชุมผู้นำกลุ่มยูโร ซึ่งมีสมาชิก 19 ประเทศ
กลุ่มยุโรหรือยูโรโซน เป็นเรื่อง การใช้เงินตราสกุลเดียวร่วมกันคือ เงินยูโร ในขณะที่กลุ่มอียู เป็นเรื่องของ การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ประเทศสมาชิกอียู ที่ไม่ได้อยู่ในยูโรโซน ยังคงใช้เงินสกุลดั้งเดิมของตนต่อไป คือ อังกฤษ เดนมาร์ก สวีเดน โรมาเนีย บุลกาเรีย สาธารณรัฐเชค และโครเอเทีย
การประชุมผู้นำในวันอาทิตย์นี้ ที่ขยายวงครอบคลุมทุกประเทศในอียู จากเดิมที่เคยเป็นการประชุมเฉพาะกลุ่มผู้นำประเทศยุโรโซน จึงเป็นที่คาดหมายว่า จะมีวาระสำคัญนอกเหนือจาก การพิจารณาแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจของกรีซ ที่เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มยูโรโซน ซึ่งอาจจะเป็น การเตรียมรับมือ ผลกระทบที่ไม่ใช่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ หากกลุ่มเจ้าหนี้ยูโรโซน ไม่อนุมัติเงินช่วยเหลือกรีซอีกต่อไป ทำให้กรีซต้องออกจากยูโรโซนไปโดยปริยาย
รัฐบาลกรีซต้องใช้คืนเงินกู้ 3 พันล้านเหรียญ ที่เป็นหนี้ ธนาคารกลางยุโรป ในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ หากไม่ได้รับเงินกู้ก้อนใหม่จาก กลุ่มยูโร ก็จะต้องผิดนัดชำระหนี้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากผิดนัดชำระหนี ไอเอ็มเอฟ 1.7 พันล้านเหรียญเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา นอกจากนั้น ธนาคารกรีซซึ่งปิดทำการ ล่วงเข้าสัปดาห์ที่สองแล้ว ก็จะต้องปิดต่อไปไม่มีกำหนด การปันส่วน เงินสด จากตู้เอทีเอ็ม วันละ 60 ยูโรต่อคน อาจจะต้องลดวงเงินลง หรืออาจจะยุติลง เพราะ ธนาคารไม่มีเงินจะให้ถอนแล้ว
กรีซต้องนำเข้าสินค้าจำเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้ง อาหาร น้ำมัน ยารักษาโรค หากเงินยูโรเกลี้ยงกระเป๋า ก็จะเกิดภาวะการณ์ขาดแคลนขึ้นในไม่ช้า การหันกลับไปใช้เงินสกุลเดิมคือ ดราชมา เป็นเรื่องพูดง่ายแต่ทำยาก เพราะไม่รู้ว่าจะได้รับการยอมรับหรือไม่ และค่าของเงินคงจะน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก ซึ่งจะทำให้สินค้าที่ต้องนำเข้ามีราคาแพงมาก
สิ่งที่จะเกิดขึ้น หากที่ประชุมผู้นำอียูวันอาทิตย์นี้ ไม่ให้เงินช่วยเหลือกรีซ คือ การขาดแคลนอาหาร เชื้อเพลิง ยารักษาโรค เครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะจลาจลได้ การเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม จึงเป็นหน้าที่ของกลุ่มประเทศสมาชิกอียู
เพราะถึงแม้ กรีซ จะออกจากยูโรโซน แต่กรีซยังเป็นส่วนหนึ่งของอียู และเป็นสมาชิกองค์การนาโต้ ซึ่งมีความสำคัญทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันนี้ ที่มีแนวโน้มว่า สงครามเย็นจะหวนกลับคืนมา เมื่อ รัสเซีย และจีน ต่างมีนโยบายขยายอำนาจทางการทหาร สร้างอิทธิพลคานกับสหรัฐฯ และยุโรป
หลังการลงประชามติไม่รับเงื่อนไขของเจ้าหนี้ เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 5 ก.ค. ผู้นำกลุ่มประเทศยูโรโซน รวมทั้งนายอเล็กซีส ซีปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ นัดประชุมฉุกเฉิน เพื่อหารือกันว่า จะทำอย่างไรต่อไป แต่นายซีปราส เดินเข้าห้องประชุมแบบมือเปล่า ไม่มีแผนการอะไรไปเสนอเลย สร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำหลาย ๆ คนเป็นอย่างมาก จนต้องขีดเส้นตายให้นายซีปราส เสนอแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ แลกกับ เงินกู้ ภายในวันพฤหสบดีที่ 9 ก.ค. โดยผู้นำอียู 28 ประเทศ จะประชุมเพื่อตัดสินใจว่า จะยอมรับแผนของกรีซหรือไม่
นายฌอง คล็อค จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการอียู ซึ่งเป็นองค์กรบริหาร หรือ รัฐบาลของอียู กล่าวว่า การออกจากยูโรของ กรีซ หรือ Grexit คือ หนึ่งในสถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น (Scenario) หลังการประชุมในวันอาทิตย์นี้ ซึ่งทางคณะกรรมาธิการอียู มีการวางแผนรับมืออย่างละเอียดในทุกขั้นตอนแล้ว
วันอาทิตย์ที่ ผ่านมา ( 5 ก.ค.) ชาวกรีกจำนวนหนึ่งออกมาฉลองชัยชนะ หลังผลการลงประชามติไม่รับเงื่อนไขของเจ้าหนี้ วันอาทิตย์นี้ (12 ก.ค.) พวกเขาจะหัวร่อ หรือร้องไห้ กับ ผลการประชุมทของเจ้าหนี้ ?
