“เป๊ปซี่” ลุ้น ศาลฎีกาแรงงานพิพากษาคดีบางกอกโพสต์ไล่ออกพรุ่งนี้

อดีตหัวหน้าข่าวทหาร บางกอกโพสต์ ขอบคุณทุกกำลังใจสู้คดีประวัติศาสตร์วงการหนังสือพิมพ์ หลังศาลฎีกาแรงงานเตรียมพิพากษาคดีฟ้องต้นสังกัดไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรมพรุ่งนี้ เชื่อจะเป็นบรรทัดฐานสำคัญในวงการสื่อ

วันนี้ (28 มิ.ย.) นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าว สถานีโทรทัศน์ดิจิตอล นิวทีวี ได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก Sermsuk Kasitipradit ระบุว่า การ์ดให้กำลังใจไม่ให้ท้อแท้ NEVER GIVE UP ที่เพื่อนร่วมงานในบางกอกโพสต์ มอบให้ในวันที่โดนไล่ออก 29 ส.ค. 2548 จากข่าวรันเวย์สุวรรณภูมิร้าว เป็นหนึ่งในกำลังใจที่ได้ตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมาหลังถูกอำนาจการเมืองในยุคทักษิณครองเมืองบีบให้ผู้บริหารบางกอกโพสต์ ที่มี นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บีบให้ออก วันจันทร์ที่ 29 มิ.ย. ศาลฎีกาแรงงานจะอ่านคำตัดสินในคดีประวัติศาสตร์ของวงการหนังสือพิมพ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมา ก่อนน่าจะเป็นคดีแรงงานที่ยาวนานที่สุด ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไรเชื่อว่าจะเป็นบรรทัดฐานสำคัญในวงการสื่อมวลชนไทย ขอบคุณทุกกำลังใจและความช่วยเหลือที่มีให้ในยามที่ยากลำบาก

ขอบคุณสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ให้ที่พักพิงช่วยเหลือ ขอบคุณสภาทนายความแห่งประเทศไทยให้ทนายนคร ชมพูชาติ ช่วยเหลือเรื่องคดี คำพิพากษาปี 2550 ตัดสินว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม สั่งให้รับกลับ แต่ไม่จ่ายเงินเยียวยาต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องฎีกาในคดี

ทั้งนี้ คดีสืบเนื่องมาจาก นายเสริมสุข ได้ถูกบริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ไล่ออกจากตำแหน่งหัวหน้าข่าวฝ่ายทหารและความมั่นคง ภายหลังนำเสนอข่าวปัญหารันเวย์ร้าวของสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2548 จนทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจ และ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ถึงกับสั่งให้กระทรวงฟ้องร้องกับหนังสือพิมพ์จนต้นสังกัดต้องตัดสินใจดังกล่าว

ต่อมา นายเสริมสุข จึงได้ฟ้องร้องต่อศาลแรงงานโดยกล่าวหาอดีตต้นสังกัดเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งเรียกร้องค่าเสียหาย และศาลแรงงานกลาง ก็ได้มีคำพิพากษาเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2550 ให้หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รับนายเสริมสุข กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราเดิมก่อนถูกเลิกจ้าง และให้จ่ายค่าชดเชยจากกองทุนเลี้ยงชีพในส่วนเงินสมทบของบริษัท 623,700.08 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง แต่นายเสริมสุข ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา เพื่อให้บริษัทจ่ายค่าเสียหายจากการขาดรายได้จำนวน 8 ล้านบาท และค่าเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงจำนวน 5 ล้านบาท รวม 13 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่ได้ฟ้องร้องไว้ก่อนหน้านี้ ภายหลังอดีตต้นสังกัดได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาให้รับกลับเข้าทำงาน และจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยศาลฎีกาได้นัดพิพากษาคดีดังกล่าวในวันที่ 29 มิ.ย. นี้