ตามดูบทสนทนา 2 ตอน “ปราโมทย์ นาครทรรพ” นักวิชาการอิสระ สอนเชิงการทูต “ดับเบิลยู. แพทริก เมอร์ฟีย์” อุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา หลังเข้าขอโทษ และสำนึกผิด ปมคำนิยาม “Anti-Thaksin Activist” ย้ำไม่อยากให้ชาวไทยกับชาวอเมริกันโกรธหรือเกลียดกัน เปิดคำถามเด็ด! “สถานทูตมะกัน” เชิญ “พล.อ.ประยุทธ์” ร่วมงานหรือไม่ ทูตมะกันถึงอึ้ง! เจอคำพูด “ถ้าอเมริกันเป็นอย่างนี้ ถ้าผมมีอำนาจจะเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับจากวอชิงตัน”
วันนี้ (25 มิ.ย.) มีรายงานว่า ภายหลังวันที่ 23 มิ.ย. นายดับเบิลยู. แพทริก เมอร์ฟีย์ อุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้โพสต์ทวิตเตอร์ “แสดงความเสียใจ” โดยระบุว่าได้เดินทางเข้าขอโทษ และมอบบัตรเชิญใหม่เพื่อร่วมงานฉลองวันชาติสหรัฐฯ ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย หลังจากที่ระบุชื่อตำแหน่งของนายปราโมทย์ว่า “Anti-Thaksin Activist” หรือนักเคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณไปแล้วนั้น
ศ.ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Pramote Nakornthab” เปิดเผยบทสนทนาบางช่วงว่า ได้สนทนากับทูตอเมริกัน 23 มิถุนายน 2558
โดยเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ศ.ดร.ปราโมทย์เขียนว่า “เพื่อนๆ คงอยากทราบว่าผมพูดอะไรกับทูตอเมริกันบ้าง ผมขอเล่าให้ฟังบางตอน เพื่อจะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจ และผู้รับผิดชอบด้านการทูตทั้งสองฝ่าย คือ ไทย-อเมริกัน-ได้เจริญสติและปัญญาบ้างไม่มากก็น้อย
1. ผมบอกท่านทูตว่าผมโปรอเมริกัน ผมไม่อยากให้ชาวไทยกับชาวอเมริกันโกรธหรือเกลียดกัน อเมริกาซึ่งเป็นบ้านที่ 2 ของผมจะกลายเป็นบ้านที่หนึ่งทันที หากครั้งแล้วครั้งเล่าไทยก็ก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้ มิใช่เป็นเพราะว่าผมมีลูกเป็นคนอเมริกัน แต่เป็นเพราะว่าผมเกลียดเผด็จการ และผมรู้ดี และเสียดายที่อเมริกันไม่รู้ว่า เผด็จการเลือกตั้งในเมืองไทยนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเผด็จการอื่นที่ไทยเคยมี
2. ผมยกตัวอย่าง Armed Forces Movement ของโปรตุเกสที่ขับไล่เผด็จการเลือกตั้งพลเรือน ถ้ากองทัพโปรตุเกสไม่ทำอย่างนั้น ป่านนี้รับรองว่ายูโรไม่เกิด และวันนี้ยุโรปไม่มีทางเป็นประชาธิปไตย ทำไมเรื่องนี้อเมริกันและยุโรปจึงไม่เข้าใจ
3 คำว่า coup เป็นตัวอย่างความยากจนของภาษาอังกฤษ ที่ไม่สามารถแสดงภาพการยึดอำนาจของเมืองไทยได้ เพราะการยึดอำนาจในไทยไม่เหมือน coup ที่ไหนๆซึ่งรบราฆ่าฟันกันเหมือนไม่ใช่มนุุษย์ การยึดอำนาจของเมืองไทยกระสุนนัดเดียวก็ไม่ได้ยิง แม้สักหนึ่งชีวิตก็ไม่เสีย หัวคะแนนฆ่ากันตายในวันเลือกตั้งเสียอีกที่มีเป็นประจำ
จบบทสนทนาชุดอารัมภบท ขอผัดเป็นพรุ่งนี้ครับ ผมทนง่วงไม่ไหว ความจริงผมหลับไปนานแล้ว คุณหมอกระแส ชนะวงศ์ โทร.มาปลุกเพื่อจะถามเรื่องบัตรเชิญสถานทูต ผมเลยนอนไม่หลับ ผมถามคุณหมอ อดีต รมว.กระทรวงต่างประเทศ และรมต.สำนักนายกฯ รัฐบาลทักษิณว่าได้รับเชิญวันชาติอเมริกันครั้งนี้ไหม คุณหมอตอบว่าไม่”
ขณะที่วันที่ 25 มิ.ย.นี้ ศ.ดร.ปราโมทย์เขียนว่า “ตอนที่ 2 ผมต้องขอโทษที่มาช้าไปเป็นวัน เมื่อวานนี้เหนื่อยมาก เพราะมีรายการภารกิจเต็มเหยียดตั้งแต่เช้าจนเกือบสามทุ่ม เวลานอน จนต้องนอนช้าไปกว่าชั่วโมง ผมเชื่อว่าทูตจะต้องรายงานกลับไปวอชิงตันว่าท่านพูดว่าอย่างไรกับผมบ้าง และผมสันนิษฐานว่า ทางสถานทูตคงติดตามอ่านเฟซบุ๊กของผม ผมจึงยินดีมาก และคอยอ่านรายงานของท่านทูตเช่นเดียวกัน ความลับไม่มีในโลก ผมจะย่อการสนทนาตอนที่ 2 นี้เป็นหัวข้อสั้นๆ ผมจะบันทึกรายละเอียดเก็บไว้ทีหลังดังนี้
การสนทนาตอนที่ ๒ เรื่องการจ่าหน้าบัตรเชิญ
ท่านทูตบอกว่าเสียใจจริงๆ ในสิ่งที่เกิดขึ้นต้องขอโทษในความผิดพลาด ขอรับรองว่าไม่มีเจตนาเลยเสียใจจริงๆ ผมตอบว่าผมไม่โกรธหรือถือโทษเสมียนหรือเจ้าหน้าที่คนใดๆ ในสถานทูตหรอก เพราะผมเข้าใจดีว่าต้องทำงานอย่างไร และการทำงานผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมโทษความคิดหรือคำสั่งหรือนโยบายที่มาจากเบื้องบน ที่ทำให้เกิด data base ที่แบ่งแยกคนไทยออกเป็นพวกๆ เช่น ผมเป็นพวกนักเคลื่อนไหวแอนตี้ทักษิณ เป็นต้นนั้น ผมรับไม่ได้ และขอเตือนให้ทราบ ท่านทูตตอบว่ารับรองว่าไม่มี data base และไม่มีการแบ่งแยกคนไทย เขาถือว่าทุกฝ่ายเป็นมิตรทั้งสิ้น เป็น broad spectrum คือ การรวมคนไทยอย่างกว้างขวาง รัฐบาลอเมริกันถือว่าเป็นมิตรกับคนไทยทุกคน ขอให้เชื่อ
ผมตอบว่าขอได้ แต่ให้ไม่ได้ การกระทำที่ผ่านๆ มาของสถานทูตอเมริกัน นึกว่าผมไม่รู้อย่างนั้นหรือ ผมรู้เพราะผมเรียนการเมืองอเมริกันมามากพอที่จะสอนคนอเมริกันได้ ผมรู้มากกว่าที่ผมพูด บางอย่างผมก็ไม่พูด เพราะผมไม่อยากให้คนไทยกับคนอเมริกันเกลียดกัน ผมถือว่าคนไทยโปรอเมริกันมากกว่าใครๆ และผมไม่ต้องการให้สัมพันธภาพอันดีระหว่างสองประเทศที่ยืนยาวมาถึง 80 ปีต้องเปลี่ยนแปรไป ผมไม่อยากเห็นทูตอเมริกันถูกปาดหน้าอย่างในเกาหลีใต้ หรือถูกขู่ฆ่าทุกวันอย่างในญี่ปุ่น บางอย่างผมจึงไม่พูดและไม่เผยแพร่ เพราะไม่ต้องการเห็นคนไทยมาเยี่ยวรดธงอเมริกันหรือมาพังรั้วสถานทูต ท่านทูตก็ยืนยันแล้วยืนยันอีกว่าเป็นอย่างที่พูด แต่เมื่อมันเกิดอย่างนี้ก็ไม่สบายใจมากจึงต้องตามมาขอโทษผมด้วยตนเอง
ผมก็บอกท่านว่าไม่จำเป็นเลย และขอโทษท่านทูตด้วยที่ไม่สามารถต้อนรับได้ที่บ้าน หรือแม้แต่โรงแรมใกล้ๆ สถานทูตเมื่อเช้านี้ ทำให้ท่านทูตต้องวิ่งตามมาถึงสนามบิน ไม่ได้ตั้งใจทำให้ลำบากเลย ท่านทูตตอบว่าไม่เป็นไรเลย เป็นหน้าที่ของท่าน ด้วยความจริงใจจริง และยืนยันว่าความผิดพลาดเฉพาะเรื่องผมนั้นผิดพลาดจริง แต่สถานทูตเป็นมิตรกับคนไทยทุกกลุ่ม ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง กลุ่มนั้นก็เชิญ กลุ่มนี้ก็เชิญ ข้าราชการก็เชิญ คนในรัฐบาลก็เชิญ และอยากเชิญผมด้วยใจจริง เชิญด้วยตนเอง หวังว่าผมจะไปร่วม
ผมบอกว่าผมไปไม่ได้ดอก เพราะผมจะไปที่อื่นอยู่แล้ว (ความจริงผมไม่ได้โกหก) แต่ผมไม่สำคัญหรอก คนอื่นสำคัญกว่า และจะพิสูจน์ความจริงใจของนโยบายอเมริกัน เช่น การเชิญนายกรัฐมนตรี เป็นต้น เพราะฉะนั้นช่วยตอบผมด้วยว่าสถานทูตเชิญพลเอกประยุทธ์หรือไม่
เขาตอบเลี่ยงๆ อ้ำๆ อึ้งๆ ว่าเชิญเยอะแยะหลายคน รวมทั้งผู้ใหญ่หลายคน ผมบอกว่าถามเป็นครั้งที่สองนะ คำถามก็ง่ายๆ ตรง ช่วยตอบตรงๆ ว่าเชิญพลเอกประยุทธ์หรือเปล่า ผมก็ได้คำตอบครั้งที่สองคล้ายๆ คำตอบครั้งที่หนึ่งอีกว่าอย่าให้เขาระบุชื่อว่าเชิญใครบ้างได้ไหม ขอรับรองว่าเชิญมากทั่วถึงจริงๆ ผมจึงคาดคั้นว่า ผมขอถามซ้ำนะ ขอถามซ้ำเป็นครั้งที่สามว่าเชิญพลเอกประยุทธ์หรือไม่ ท่านทูตต้องตอบตรงๆ ตอบโดยไม่ต้องใช้คำพูดก็ได้ ผมมีวิธีอ่านคำตอบ ผมเข้าใจว่าผมอ่านคำตอบที่ท่านทูตไม่ยอมเปล่งวาจาว่าไม่ได้เชิญ ผมจึงบอกท่านทูตว่า นั่นไงเห็นไหมล่ะ กระทรวงต่างประเทศคุณ และรัฐบาลคุณเป็นเสียยังงี้ นี่ดีเป็นพลเอกประยุทธ์นะ ถ้าเป็นผม ผมจะทำยังไงรู้ไหม
ท่านทูตไม่ว่าอะไร ผมเลยบอกว่า ผมน่ะอยากบอกรัฐบาลของผมว่า ถ้าอเมริกันเป็นอย่างนี้ ผมจะเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับจากวอชิงตัน ความจริงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทูตไทยจะแจ้งไปวอชิงตันเลย ในเมื่อทูตอเมริกาก็ยังไม่มี และไม่มา (การทูตไทยก็ตกต่ำมาก ชอบทำตัวให้เขาดูถูกยังงี้ ผมไม่ได้บอกเขานะครับ ผมพูดกับพวกเรา) และถ้าเป็นผม ผมจะบอกรัฐบาลอเมริกาว่า ถ้ายูยังมีท่าทีแบบนี้ เอกอัครราชทูตของอเมริกันก็อย่าเพิ่งส่งมา
วันนี้ขอจบแค่นี้นะครับ วันนี้ทั้งวันอีก แขกรายแรกจะมาถึง 7.45 น. ซึ่งปกติเป็นเวลาที่ผมหลับสบายหลังจากกลับไปนอนอีกครั้งตอนหกโมงเช้า สวัสดีครับ ขอให้พวกเราจงรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทย เมืองไทยเป็นเมืองสำคัญของโลกก่อนที่อเมริกาจะเกิดตั้งหลายร้อยปี ถ้าเทียบชีวิตา 239 ปีของอเมริกา ก็คือเด็กหัวเท่ากำปั้นดีดีนี่เอง เราจะต้องช่วยกันสั่งสอนมิให้ยะโสกับผู้ใหญ่ แต่ทำด้วยความรักและเมตตาครับ มิใช่เกลียดชัง เหมือนกับที่ผมพูดกับท่านทูตด้วยความจริงใจและเปี่ยมไปด้วยความเป็นมิตร”