เอเอฟพี/รอยเตอร์ - จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯเมื่อวันพฤหัสบดี (5 มี.ค.) ประกาศกร้าวการข่มขู่คุกคามใดๆ ก็มิอาจขัดขวางวอชิงตันได้ หลังจากนักเคลื่อนไหวชาตินิยมเกาหลีใต้จ้วงฟันที่ใบหน้าและแขนเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำกรุงโซล ขณะที่ทางโฆษกกระทรวงของเขาเปิดเผยว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุของชายคนดังกล่าว
“สหรัฐอเมริกาจะไม่มีวันยอมถูกขู่กรรโชกและโดนยับยั้งจากการข่มขู่ใดๆ หรือจากใครก็ตามที่ทำร้ายทูตอเมริกา” เคร์รี กล่าวระหว่างเยือนซาอุดีอาระเบีย “เรายังคงแน่วแน่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดในการแสวงหาสิ่งที่เราเชื่อว่าเพื่อประโยชน์ของประเทศของเรา ภายใต้ความเคารพต่อสิทธิและคุณค่าอันเป็นสากล”
มาร์ก ลิปเปิร์ต เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำกรุงโซล อาการทรงตัวหลังจากเข้ารับการเย็บแผลบริเวณแก้มด้านขวาถึง 80 เข็ม หลังจากถูกโจมตีโดยนักเคลื่อนไหวคนหนึ่งที่แสวงหาการคืนสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันบนคาบสมุทรเกาหลี
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ชายผู้ก่อเหตุซึ่งทราบต่อมาว่าชื่อนายคิม คีจอง วัย 55 ปี ถือมีดปอกผลไม้ยาว 25 ซม. กระโจนข้ามโต๊ะตัวหนึ่งและแทงเอกอัครราชทูตอเมริกันเข้าที่บริเวณมือ และใบหน้า ขณะที่เขากำลังร่วมรับประทานอาหารเช้า ในสถาบันวัฒนธรรมเซจอง ใจกลางกรุงโซล
พยานผู้เห็นเหตุการณ์ว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและตำรวจเข้าปลุกปล้ำตะครุบตัวผู้ก่อเหตุที่แต่งกายในชุดประจำชาติเกาหลีใต้ไว้ได้ทันที ก่อนนำตัวชายคนนี้ไปยังห้องขัง ทั้งนี้ ระหว่างการจู่โจมนั้นนายคิมตะโกนเรียกร้องให้เกาหลีเหนือและใต้รวมประเทศ รวมทั้งต่อต้านการซ้อมรบประจำปีระหว่างโซลกับวอชิงตันด้วย
เบื้องต้นมารี ฮาร์ฟ โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำแถลงประณาม “พฤติการณ์ใช้ความรุนแรง” คราวนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ต่างโทรศัพท์หาลิปเปิร์ตเพื่อสอบถามอาการและและอวยพรให้หายโดยเร็ว
ในเวลาต่อมา โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกถ้อยแถลงอีกรอบยอมรับว่ายังไม่ทราบแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุ “ณ เวลานี้ เรามิอาจคาดเดาแรงจูงใจใดๆ ได้” ส่วน เบน โรดส์ รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว เผยว่า ลิปเปิร์ตจะกลับมาทำงานเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ “ผมคาดหมายว่าเขาจะกลับมาเข็มแข็งเหมือนเดิมและกลับมาทำงานเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
