เอเจนซีส์ - เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำเกาหลีใต้ถูกคนร้ายบุกเข้าถึงตัวและใช้มีด “ฟันหน้า” จนเลือดอาบกลางเวทีเสวนาในกรุงโซล เมื่อช่วงเช้าตรู่วันนี้ (5 มี.ค.) แต่อาการบาดเจ็บไม่รุนแรงนัก ตำรวจและพยานผู้เห็นเหตุการณ์เผย
มาร์ก ลิปเพิร์ต เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงโซล วัย 42 ปี มีเลือดออกบริเวณใบหน้าที่ถูกคมมีด แต่ยังสามารถเดินขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาลได้
ตำรวจโสมขาวอยู่ระหว่างสอบสวน คิม คีจอง หนุ่มใหญ่หัวชาตินิยมจัดวัย 55 ปีที่ถูกล็อกตัวไว้ได้ทันควัน และไม่ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม
สำนักข่าวบีบีซีระบุว่า จากภาพข่าวเผยให้เห็นว่าลิปเพิร์ตมีเลือดออกที่ข้อมือซ้ายและใบหน้า ซึ่งเกิดจากคมมีดโกน
แมรี ฮาร์ฟ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาประณามการทำร้ายร่างกายทูตครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่าอาการของลิปเพิร์ตไม่สาหัส
“เราขอตำหนิพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงเช่นนี้” เธอกล่าว
ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ก็ได้โทรศัพท์ไปให้กำลังใจลิปเพิร์ต และขอให้เขาหายดีโดยเร็ว
“ประธานาธิบดีได้โทรศัพท์ถึง มาร์ก ลิปเพิร์ต เอกอัครราชทูตประจำสาธารณรัฐเกาหลี โดยบอกให้เขาทราบว่าท่านมีความรำลึกถึงตัวเขาและภริยา โรบีน และขอให้หายดีในเร็ววัน” เบอร์นาแด็ดต์ มีฮาน โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ แถลง
สำนักข่าวยอนฮัปอ้างนายตำรวจซึ่งระบุว่า เหตุระทึกขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาราว 07.40 น. (05.40 น.ตามเวลาในไทย) ขณะที่ทูต ลิปเพิร์ต กำลังเดินเข้าไปที่ห้องบรรยาย โดยคิมได้ตะโกนขึ้นมาว่า “เกาหลีใต้และเกาหลีเหนือควรจะรวมกันเป็นหนึ่ง” ก่อนจะตรงเข้าทำร้ายทูต
สตีเฟน อีแวนส์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำกรุงโซล รายงานว่า คนร้ายรายนี้ยังแสดงท่าทีต่อต้านภารกิจซ้อมรบประจำปีระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ซึ่งเปิดฉากขึ้นในสัปดาห์นี้ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เขาถูกเกาหลีเหนือจ้างวานมาหรือไม่
คิม คีจอง เคยมีประวัติขว้างคอนกรีตใส่เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงโซลมาแล้ว และทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มติดอาวุธชาตินิยมเกาหลี
ผู้สื่อข่าวบีบีซี ระบุว่า ชาวโสมขาวส่วนหนึ่งมองว่าการที่สหรัฐฯ มีกองกำลังประจำการถาวรในเกาหลีใต้ และจัดการซ้อมรบร่วมกันอย่างสม่ำเสมอเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สองเกาหลีไม่อาจรวมชาติ
ประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย แห่งเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้มีถ้อยแถลงประณามผ่านทำเนียบประธานาธิบดีว่า การทำร้ายร่างกายทูตสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวงเมื่อเช้านี้มีเจตนา “บ่อนทำลายความเป็นพันธมิตรระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ”