ประธาน กมธ.ปฏิรูปราชการ เผยไทยยังติดกับดักชาติกำลังพัฒนา ทั้งที่พร้อมเป็นชาติพัฒนาแล้ว แนะให้มี กม.ว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติ มีกรอบกำหนดแผนพัฒนาต่างๆ ประกอบด้วยภาครัฐ เอกชน-ประชาชน-ผู้เชี่ยวชาญ ร่างยุทธศาตร์ตามถามประชาชน ผ่านความเห็นชอบรัฐสภา ผูกพันฝ่ายบริหาร พร้อมตั้ง คกก.ติดตาม ยันจำเป็นสำหรับประเทศ ควรทำเลยไม่ต้องรอ รธน.
วันนี้ (22 มิ.ย.) นายธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปบริหารราชการแผ่นดิน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงผลการศึกษาการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติว่า จากการศึกษาพบว่าการที่ประเทศไทยยังตกอยู่ในกับดักประเทศกำลังพัฒนา ทั้งที่มีศักยภาพความพร้อมทุกด้านที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วจากสาเหตุหลายประการ เช่น ขาดการพัฒนาที่ต่อเนื่อง ขาดการบูรณาการแผนพัฒนาที่มีอยู่เป็นรายกระทรวง การกำหนดอนาคตของชาติที่ผ่านมากำหนดโดยภาครัฐเป็นหลัก ภาคเอกชนมีส่วนร่วมด้วย และประชาชนเกือบไม่มีส่วนร่วมเลย การจัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่กระทำโดยแยกส่วน ขณะที่ประเทศที่พัฒนา แล้วส่วนใหญ่มียุทธศาสตร์ชาติมาแล้วเป็นเวลานาน
ผลการศึกษาได้เสนอให้มีกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อกำหนดกลไกและกระบวนการจัดยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อรองรับความเป็นเร่งด่วนของประเทศโดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นแผนแม่บทหลัก เป็นกรอบกำหนดนโยบายการแผนพัฒนาด้านต่างๆ กำหนดทิศทาง เป้าหมาย หรือแนวทางการพัฒนาประเทศ การบริหารราชแผ่นดิน การจัดสรรงบประมาณ การจัดสรรทรัพยากร และเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาเอกเอกชนและประชาชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
ทั้งนี้ คณะยุทธศาสตร์ชาติประกอบด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆไม่ต่ำกว่า 12 คน ร่างยุทธศาสตร์ชาติที่คณะกรรมการ ฯจัดทำจะต้องสอบถามความเห็นของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นยุทธศาสตร์ชาติของทุกภาคส่วน โดยต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และผูกพันฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารในสมัยต่อไปด้วย หลังจากมียุทธศาสตร์ชาติเป็นทางการแล้ว กฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการ และคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่กำกับ ติดตามให้มีการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
นายธีรยุทธ์กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (23 มิ.ย.) จะมีการบรรจุวาระเรื่องดังกล่าวในที่ประชุมเพื่อให้สมาชิกได้พิจารณา ซึ่งตนหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนก่อนส่งให้คณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาต่อไป และกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติถือมีความสำคัญ และจำเป็นเร่งด่วนสำหรับประเทศ จึงควรให้มีผลบังคับใช้โดยไม่จำเป็นต้องรอรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ แต่หากรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้เมื่อใดก็จะเป็นการเริ่มให้ยุทธศาสตร์ชาติมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น