สภาปฏิรูปแห่งชาติ รับทราบรายงาน กมธ. ปฏิรูปการเมือง หนุนสร้างพรรคเป็นสถาบันทางการเมือง ให้กรรมการบริหารต้องมาจากการเลือกตั้งของสมาชิก ส่วนผู้สมัคร ส.ส. ต้องถูกเลือกจากสมาชิกในพื้นที่ อายุไม่ต่ำกว่า 30 แนะเลือกตั้งใหญ่แบบปี 50 แต่ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม ต้องโชว์เสียภาษีย้อนหลัง 5 ปี อนุมัติ กกต. กำหนดวันโหวต - เลื่อนได้ ถ้าพบโกงให้แบนตลอดชีวิต เพิ่มกรรมการเป็น 7 คน
วันนี้ (15 มิ.ย.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 13.35 น. การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยมี น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช. คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระการพิจารณารับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการเมือง เรื่องการเข้าสู่อำนาจและระบบพรรคการเมือง ซึ่งนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง ซึ่งสาระสำคัญในรายงานเกี่ยวกับการปฏิรูปพรรคการเมือง โดยเฉพาะการให้เป็นสถาบันทางการเมือง ส่งเสริมระบบพรรคการเมืองให้มีหลายพรรค ไม่มีกลุ่มการเมืองเพราะยากต่อการควบคุม และอาจถูกโน้มน้าวไปในทางไม่ก่อประโยชน์ รวมถึงเสนอให้ปฏิรูปการบริหารพรรคการเมือง โดยผู้บริหาร คณะกรรมการบริหาร ต้องมาจากการเลือกตั้งของสมาชิก และผู้สมัครเป็นคณะกรรมการบริหารจะต้องเป็นสมาชิกพรรคอย่างน้อย 1 ปี ขณะที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค ต้องผ่านการเลือกตั้งขั้นต้นของสมาชิกพรรคในพื้นที่ (Primary Vote) และมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี ส่วนกรณีการยุบพรรคการเมือง จะกระทำได้เฉพาะกรณีกระทำผิดร้ายแรงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์แห่งชาติ ทั้งนี้ เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลยุติธรรมเท่านั้น
สำหรับการปฏิรูปการเลือกตั้ง กมธ. ปฏิรูปการเมือง เสนอว่า ให้ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบคู่ขนานเหมือนรัฐธรรมนูญปี 50 เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม มีแนวโน้มที่จะไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดรัฐบาลผสมที่ช่วยลดความแตกแยก แต่ระบบการเลือกตั้งดังกล่าวอาจมีประสิทธิภาพเฉพาะการเลือกตั้งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสังกัดพรรคเท่านั้น แต่ขอให้ระวังพรรคการเมืองอาจร่วมมือกันส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. ในภาพรวมมากขึ้น นอกจากนั้น ควรกำหนดจำนวน ส.ส. แบบเขต และแบบบัญชีรายชื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการเมืองไทย ส่วนเรื่องคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของ ส.ส. กมธ. ปฏิรูปการเมืองเสนอให้มีการคัดเลือกผู้สมัครในแต่ละเขตเลือกตั้ง และควรจัดให้มี ส.ส. จากกลุ่มวิชาชีพ และชาติพันธุ์ รวมถึงกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องยื่นหลักฐานสำเนาการเสียภาษีให้รัฐย้อนหลัง 5 ปี ในวันสมัคร และแสดงตัวต่อสาธารณชนโดยจดทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนการเลือกตั้ง 1 ปี
ส่วนการปฏิรูปองค์กรอิสระ มีการเสนอให้ กกต. มีอำนาจกำหนดวันเลือกตั้ง เลื่อนวันเลือกตั้ง หรือวันลงคะแนนในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย ซึ่งก่อนประกาศผลการเลือกตั้งให้ กกต. มีอำนาจสั่งเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) ส่วนกรณีหลังประกาศผลหากสืบสวนพบการทุจริตให้ กกต. ยื่นคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์กลางเพื่อเพิกสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิต (ใบแดง) โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกกล่าวหามีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งของ กกต. ได้ นอกจากนั้น ยังเสนอให้มีปฏิรูปการสรรหาบุคคลที่เข้าดำรงตำแหน่ง กกต. โดยเสนอเพิ่มจำนวน กกต.จาก 5 คนเป็น 7 คน เพื่อความคล่องตัวในการทำหน้าที่