นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมอ่างเก็บน้ำประแสร์ ระยอง ติดตั้งบานระบายน้ำพับได้ และเทคอนกรีตเสริมเหล็กบนพื้นอาคารระบายน้ำล้น คาดแล้วเสร็จปลายปี ชู 4 ยุทธศาสตร์จัดการน้ำภาคตะวันออก ด้านเจ้าตัวเผยอยากได้ทะเลสาบแบบกว๊านพะเยา สั่งสำรวจที่ราชพัสดุ แนะข้าราชการเข้มแข็งเรียกศรัทธาประชาชน ไฟเขียวงบ 180 ล้าน ทำท่อลอดคลองจากแม่น้ำบางปะกงเข้า 3 ตำบล แก้ภัยแล้ง
วันนี้ (10 มิ.ย.) ณ ห้องประชุมโครงการอ่างน้ำเก็บกักน้ำประแสร์ บ้านแก่งหวาย หมู่ 6 ต.ชุมแสง อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เมื่อเวลา 12.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับฟังบรรยายสรุปโครงการเพิ่มประสิทธิภาพกักเก็บน้ำประแสร์ โดยมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ ประธานกรรมการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รายงานวัตถุประสงค์และสรุปภาพรวมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดินรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการตามยุทธศาสตร์ของหน่วยงาน โดยมี รมว.มหาดไทย รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหัวหน้าส่วนราชการภาคตะวันออกเข้าร่วมรับฟัง
สำหรับโครงการอ่างน้ำเก็บกักน้ำประแสร์ มีลักษณะเป็นเขื่อนดินถมบดอัดแน่นแบบแบ่งโซน ความจุอ่างที่ระดับเก็บกักน้ำ ประมาณ 248 ล้าน ลบ.ม. ระดับตัวเขื่อนความยาวประมาณ 2.50 กม. ความสูง 24.00 ม. มีพื้นที่ชลประทานได้รับประโยชน์ทั้งสิ้น 175,000 ไร่ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกับเก็บและระบายน้ำ รัฐบาลจึงได้สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำประแสร์ จำนวนเงิน 64,600,000 บาท โดยดำเนินการติดตั้งบานระบายน้ำแบบพับได้ ความสูง 1.00 ม. บนสันฝายแบบ Ogee (ฝายซึ่งมีลาดด้านท้ายน้ำของสันฝายเป็นรูป Ogee คือ เป็นรูโค้งที่เกิดจากเส้นโค้งที่กลับทางกันสองเส้นนำมาต่อกัน) บานระบาย 4 ช่วงๆ ละ 18.09 ม. ความยาว 72.36 ม. พร้อมอุปกรณ์ปรับระดับบาน โดยใช้กระบอกไฮดรอลิกในการควบคุม และเทคอนกรีตเสริมเหล็ก ความหนา 0.75 ม. บนพื้นอาคารรับน้ำเดิมของอาคารระบายน้ำล้น คาดว่า จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 2 ธ.ค. 2558 ขณะนี้ดำเนินการไปได้แล้วเร็วกว่าแผนงาน 7.629% มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มระดับเก็บกักขึ้นอีก 1.00 เมตร เพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำประแสร์ จากเดิม 248 ล้าน เป็น 295 ล้าน ลบ.ม. ทำให้มีความจุเพิ่มขึ้น 46.50 ล้าน ลบ.ม.
ทางด้าน พล.อ.ฉัตรชัย รายงานวัตถุประสงค์และสรุปภาพรวมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก ว่า ปัญหาหลักในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก คือ การแย่งชิงน้ำระหว่างภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และการอุปโภคบริโภค รวมถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่เกาะ สำหรับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบ่งออกเป็น 4 ยุทธศาสตร์ คือ 1. การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค จำนวน 263 หมู่บ้าน ที่ยังไม่มีระบบประปาภายในปี พ.ศ. 2560 2. สร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิตโดยเพิ่มประสิทธิภาพโครงการเดิม 100 ล้าน ลบ.ม. พัฒนาแหล่งน้ำใหม่ รวม 1,000 ล้าน ลบ.ม. 3. การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย พัฒนาระบบระบายน้ำทางผันน้ำในพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนสำคัญ และ 4. การบริหารจัดการเน้นการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
ภายหลังการรับฟังบรรยายสรุป พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวพบปะพูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้น้ำที่มาให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า ปัญหาการบริหารจัดการน้ำเป็นปัญหาที่สำคัญที่รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาให้ได้ในระดับที่พอใจ โดยต้องการให้วางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบนำแนวทางการบริหารจัดการน้ำของโลกมาปรับประยุกต์ใช้รองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำของโลกในอนาคต รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงพัฒนาแหล่งน้ำให้เป็นแหล่งน้ำสะอาด สำหรับการพัฒนาแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก ผลักดันเปลี่ยนผู้ปลูกเป็นผู้ค้าแทนเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องราคาสินค้าเกษตร สำหรับการจัดสรรทรัพยากรน้ำ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องจัดสรรน้ำรองรับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และต้องเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนบนความเท่าเทียมและเป็นธรรม ในส่วนเรื่องของการกักเก็บน้ำ นายกรัฐมนตรีต้องการเพื่อที่กักเก็บน้ำแห่งใหม่ สร้างให้เป็นทะเลสาบน้ำจืด เช่น บึงบอระเพ็ด กว๊านพะเยา โดยได้มอบหมายให้อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำไปสำรวจพื้นที่ราชพัสดุ หรือที่ดินของกรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงที่ดินของประชาชนที่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากมาทำเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งใหม่เพื่อกักเก็บน้ำและพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป
ทั้งนี้ การทำงานทุกอย่างของหน่วยงานราชการต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชน และต้องชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ของประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ประชาชนยังขาดความเชื่อมั่น และขาดความศรัทธาต่อการทำงานของข้าราชการ เพราะฉะนั้นข้าราชการทุกคนต้องมีความเข้มแข็ง สร้างความเชื่อมั่นและเรียกศรัทธาจากประชาชนคืนกลับมาให้ได้ พร้อมกับกล่าวเสนอแนะว่าข้าราชการต้องปรับเปลี่ยนการทำงานต้องร่วมมือกับภาคเอกชน อำนวยความสะดวกเรื่องกฏระเบียบต่างๆ โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และมุ่งประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ลดการพึ่งพารัฐบาล สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ จำนวน 180 ล้านบาท เพื่อทำท่อลอดคลองจากแม่น้ำบางปะกงเข้าสู่พื้นที่การเกษตร ต.สาวชะโงก ต.เสม็ดเหนือ และ ต.เสม็ดใต้ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบการขาดแคลนน้ำในพื้นที่การเกษตร โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปศึกษาโครงการเพื่อดำเนินการต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการ และกล่าวปราศรันพบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ ก่อนจะดูงานติดตามความก้าวหน้าโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำประแสร์