xs
xsm
sm
md
lg

“ธนะศักดิ์” ยันพร้อมรับมือไวรัสเมอร์ส ชี้ท่องเที่ยวดีขึ้น แจงแก้โรฮีนจาเต็มที่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ(แฟ้มภาพ)
“บิ๊กเจี๊ยบ” เผย สธ.พร้อมรับมือไวรัสเมอร์ส ชี้อีโบลาน่ากลัวกว่า ยังไม่มีคนไทยในเกาหลีเป็น ไม่กระทบท่องเที่ยวไทย แถมตอนนี้ดีขึ้น เตรียมชงแผนการทำงาน ครม.พร้อมทำแพกเกจท่องเที่ยวไทย-รอบบ้านในอนาคต เล็งทำให้ยั่งยืน 3 ปี เน้นคุณภาพ ตั้งเป้ารายได้ 2 ล้านล้าน ชี้ ม.44 ไร้ผลกระทบ ยันรัฐแก้โรฮีนจาเต็มที่ ย้อนประชุมที่ผ่านมาได้รับคำชมมาก เผยนายกฯ อนุมัติแท่นลอยน้ำช่วยชีวิต แต่ปัดรับ 3 พันคน



วันนี้ (10 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติครั้งที่ 2/2558 ถึงการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์ส โควี ในประเทศเกาหลีใต้ขณะนี้ว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมพร้อมรับมือแล้ว ที่ผ่านมาก็ได้มีการเตรียมการรับมือกับไวรัสอีโบลามาก่อนหน้านี้แล้ว เรามีเครื่องตรวจจับ และการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ โดยโรคไวรัสอีโบลา และโรคซาร์สนั้นน่ากลัวกว่าไวรัสเมอร์ส แต่หากทุกคนดูแลตัวเอง มีการตรวจร่างกายภายหลังกลับมาจากประเทศที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวซึ่งหากครบระยะเวลาที่กำหนดแล้วไม่มีไข้หรืออาการใดๆ ถือว่าเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์จะไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานทูตไทยในประเทศเกาหลีใต้มีการดูแลคนไทยอย่างไรบ้าง พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่า คนไทยที่เดินทางไปทำงานในประเทศเกาหลีใต้ค่อนข้างเยอะ ซึ่งเราได้มีทีมแพทย์จิตอาสาเดินทางไปตรวจโรคให้คนไทยฟรี และขณะนี้ยังไม่มีคนไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสเมอร์ส หากทุกคนเฝ้าระวังและทำตามกฎก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวต่อว่า คณะทำงานที่ประกอบด้วยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ วันนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อทำให้การท่องเที่ยวมีความยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยมีแผนการดำเนินงานไปถึงปี 2560 ในระยะเวลา 3 ปีก่อน และต่อไปจะมีการปรับแผนให้สอดคล้องกับระยะเวลาแผนของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อให้เกิดความลงตัว ซึ่งที่ประชุมเตรียมนำแผนดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุม ครม.ต่อไป

พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวด้วยว่า ได้ตั้งเป้าหมายให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นและรายได้ที่เข้ามาประมาณ 2 ล้านล้านบาท สิ่งที่สำคัญในอนาคตคือคุณภาพของนักท่องเที่ยว ซึ่งในปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวเราเพิ่มมากขึ้น 20-30% ทั้งนี้ภาพรวมทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศรัสเซียลดลงเล็กน้อย แต่นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปเพิ่มมากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านก็มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามขณะนี้เรามองถึงนักท่องเที่ยวทั้งหมด ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น ดังนั้นคนไทยต้องช่วยเป็นเจ้าของบ้านที่ดี ส่วนรัฐบาลเองพยายามให้ทางหน่วยงานท้องถิ่นช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย ระบบการบริการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวประทับใจและอยากกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีก ขณะนี้ยอดจองตั๋วในส่วนของการท่องเที่ยวในประเทศยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ในอนาคตเส้นทางที่เชื่อมโยงทั่วทั้งประเทศ เราได้เริ่มพูดถึงการปรับเปลี่ยนข้อบังคับในการข้ามแดน ซึ่งเป็นไปด้วยดีทั้งหมด และสิ่งที่เป็นเป้าหมายตอนนี้คือการพยายามทำแพกเกจท่องเที่ยวระหว่างไทยและประเทศรอบบ้าน” รมว.ต่างประเทศ กล่าว

เมื่อถามว่าการยกเลิกกฎอัยการศึกและใช้อำนาจมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวหรือไม่ พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่า ไม่มีผลกระทบตั้งแต่ใช้กฎอัยการศึกแล้ว และมาตรา 44 ก็อยู่กับเรามาตั้งนานแล้ว นายกรัฐมนตรีเองก็อธิบายหลายครั้งว่า มาตรา 44 จะนำมาใช้ให้เกิดคุณประโยชน์เท่านั้น

พล.อ.ธนะศักดิ์ยังกล่าวถึงการแก้ปัญหาโรฮีนจาว่า รัฐบาลทำอย่างเต็มที่ในเรื่องมนุษยธรรมเพื่อความมั่นคงของประเทศ ทำตามกฎกติกา ส่วนเขาจะปรับอันดับขึ้นมาอยู่เทียร์ 2 หรือไม่นั้น อยู่ที่เขาพิจารณาอย่างไร ซึ่งการประชุมเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมาเราก็ได้รับการชมเชยเป็นอย่างมาก เวทีดังกล่าวนั้นเป็นเวทีในการหาทางออกว่าจะทำอะไร ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย ทุกประเทศก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แม้แต่ประเทศพม่าเอง ทางเราได้ชี้แจงไปว่าเหตุที่เกิดนั้นไม่ได้เป็นเพราะชนกลุ่มน้อย แต่ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ถูกกลุ่มค้ามนุษย์หลอกมา และสิ่งแรกที่เราทำคือการช่วยชีวิต

พล.อ.ธนศักดิ์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการเตรียมพร้อมโดยการบินตรวจเพื่อการแจ้งเตือนการช่วยเหลือ และนายกฯ ได้อนุมติให้ทำแท่นลอยน้ำบนทะเลเพื่อรองรับการอพยพย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ แต่มีบางเรื่องที่เราปฏิเสธไป คือ การต้องรับคน 3,000 คนมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว โดยทางเราจะทำภารกิจในการช่วยชีวิตแต่หากจะเข้าประเทศต้องเข้ามาด้วยวิธีการตามกฎหมาย คนที่อยู่ในประเทศไทยตอนนี้ หากประสงค์ที่จะเดินทางไปประเทศที่ 3 แล้วประเทศดังกล่าวมีความพร้อม เราก็จะพยายามผลักดันคนกลุ่มนี้ไปยังประเทศที่ 3 ต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ถึงแม้จะมีจำนวนการอพยพลดลงเพราะอยู่ในช่วงมรสุมแต่เราก็ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น