เกาะกระแส
00 หากเป็นไปตามคำพูดของ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่บอกว่า ภายในวันที่ 11 มิ.ย.นี้ ก็จะเป็นกำหนดที่พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ.10) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร จะส่งหนังสือมาให้พิจารณาอีกรอบ ซึ่งรอบนี้ก็ถือว่าเป็นรอบที่ 3 หลังจากก่อนหน้านี่ถูก ผบ.ตร.ตีกลับมาสองรอบแล้ว อ้างว่ายังไม่ถูกต้อง มีการรายงานองค์ประกอบความผิดไม่ครบบ้าง อะไรบ้าง ให้นำกลับไปพิจารณาทบทวนใหม่ การตีกลับมาถึงสองรอบดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากสังคมส่วนใหญ่ที่มีความคิด มีปัญญา ย่อมมองออกทันทีว่า นี่อาจเป็น "ปาหี่" กันอีก แบบ "ท่าดีทีเหลว"
00 กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจกลับมาสู่ความรู้สึกเดิมๆ อีกว่า พึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ การบังคับใช้กม.เดาไม่ถูก ว่าใช้มาตรฐานอะไรกันแน่ เพราะหากพิจารณาจากมติของคณะกรรมการฯ ชุดที่มี พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เป็นประธานก็รับรู้ว่า เป็นมติเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 แต่พอส่งไปถึงมือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง กลับบอกว่าไม่สมบูรณ์ ครั้งแรกอาจพอกล้อมแกล้มกันได้ แต่พอตีกลับครั้งที่สองอีก เออนี่มันชักไม่ธรรมดาแล้ว เพราะถ้าบอกว่าไม่สมบูรณ์อีก ทีนี้ก็ต้องพิจารณาได้เหมือนกันแล้วว่า คนที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็น พล.ต.อ.สมยศ หรือ พล.ต.อ.ชัยยะ กันแน่ หากบอกว่านี่คือรายการ "ซีเรียส" มีผลต่ออนาคตก็ทำไมถึงไม่มีรายการ "คุยกันนอกรอบ" กันบ้าง หรือว่าคุยกันมาตลอด เพียงแต่ถึงเวลาก็ต้องเตะถ่วง ยื้อกันแบบเดิมอีก
00 ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากคำพูดก่อนหน้านี้ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่พูดทำนองว่า เขา "มีนายแค่สองคน" คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่คุมตำรวจอยู่ในเวลานี้ ก็ไม่ว่ากัน เพราะนั่นคือสายการบังคับบัญชา ใครอยากจะก้าวหน้าก็ต้องฟัง ไม่เป็นไร แต่สำหรับคนที่มีความผิด ก็ต้องมีมาตรฐานเดียวกัน มีตัวอย่างทำให้เห็นอยู่แล้ว การลงโทษจะมาดูที่หน้าตา ชื่อเสียง ความรวยไม่ได้เป็นอันขาด หากผิดก็คือผิด ถ้าไม่ผิดก็บอกมาให้ชัดว่าไม่ผิด เหมือนกรณี ทักษิณ ชินวัตร ที่มีสถานะนักโทษ หนีคดี ถูกศาลยึดทรัพย์สร้างความเสื่อมเสีย มีพฤติกรรมเป็นภัยกับความมั่นคง จนล่าสุดมีการเพิกถอนหนังสือเดินทาง หากยังไม่เข้าข่ายถอดยศ เรียกคืนเครื่องราชย์ฯ ก็ให้บอกมาให้ชัด จะได้รู้กันสักทีว่า กฎหมายยกเว้นให้กับคนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ต่อไปต้องเขียนกำหนดในกม.กันไปเลย ห้ามเอาผิด หรือเอาผิดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่อง "ละเอียดอ่อน" !!
00 นี่ก็ย้ำมาอีกครั้งจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ว่า ในรอบสองปี โครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างความเสียหายด้านงบประมาณปีละไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาท ดังนั้น คนที่เกี่ยวข้องก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และย้ำอีกว่า นโยบายขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาททั่วประเทศ และโครงการรถคันแรก สร้างความเสียหายทำร้ายเศรษฐกิจ ด้านการลงทุนและการแข่งขัน นี่อาจเป็นการพูดยอมรับเป็นครั้งแรกของเขา ที่พูดแบบนี้ เพราะที่ผ่านมามาตรการต่างๆ ที่ออกมากระตุ้นศก. มันเข็นไม่ขึ้น เพราะชาวบ้านมีหนี้ท่วม ไม่มีเงินใช้จ่าย เพราะต้องผ่อนรถจนไม่มีเงินเหลือ มันแย่ถึงขนาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังขายไม่ออกก็แล้วกัน !!
00 ส่วนเรื่องค่าแรงวันละ 300 บาท ดูเผินๆ ก็ต้องว่าดี ใครๆ ก็ชอบ แต่การที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดเท่ากันทั่วประเทศแบบที่ชายแดนห่างไกลยังได้เท่ากับในเมืองหลวง มันก็เกินไป ดังนั้นถูกต้องแล้วที่ในอนาคตจะนำระบบ "ค่าแรงลอยตัว" มาใช้ โดยอัตราค่าแรงวันละ 300 บาทในปัจจุบันยังอยู่ แต่ต่อไปการพิจารณาค่าแรงใหม่ จะไม่เท่ากันทั่วประเทศ แต่ดูตามศักยภาพ อัตราค่าครองชีพ เงินเฟ้อในแต่พื้นที่ซึ่งไม่เท่ากัน หรือพิจารณาตามคุณภาพของประเภทงานและศักยภาพของคนงานที่มีฝีมือ เพราะในความเป็นจริงเวลานี้มีงานบางประเทศที่มีการแข่งขันต้องจ้างแรงงานในอัตราที่สูงกว่าวัน 300 บาทตั้งนานแล้ว แต่บางประเภทหากบังคับให้จ้างวันละ 300 บาท มันก็ทยอยเจ๊ง และยังเปิดช่องให้แรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทยอย่างที่เป็นอยู่ สร้างปัญหามากมายตามมา !!