xs
xsm
sm
md
lg

11 มิถุนายน “สมยศ” ตีกลับถอดยศ “แม้ว” ก็ปาหี่-ท่าดีทีเหลว!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

คำพูดล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เปิดเผยว่า ภายในวันที่ 11 มิถุนายน พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร จะส่งหนังสือผลการพิจารณากลับมาให้พิจารณาอีกรอบ จากคำพูดดังกล่าวทำให้ต้องมาดูกันว่าเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าวผลจะออกมาอย่างไรกันแน่ และเชื่อว่า สังคมก็กำลังรอดูกันอยู่เหมือนกันว่าในที่สุดมันจะเป็นแบบไหน

เพราะหากพิจารณาจากครั้งแรก มาจนถึงกำหนดภายในวันที่ 11 มิถุนายน ก็ถือว่าจะเป็นครั้งที่สามแล้วที่ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เสนอไปยัง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง โดยครั้งแรกมีการตีกลับมา อ้างว่าคณะกรรมการยังลงนามรับรองมติกันไม่ครบ ส่วนครั้งที่สองที่ตีกลับลงมาอีกอ้างว่ายังพิจารณายังไม่ครบองค์ประกอบความผิด หรือยังพิจารณาไม่รอบด้านอะไรประมาณนั้นแหละ พร้อมทั้งยืนยันว่า “นี่ไม่ใช่เป็นการเตะถ่วงหรือดึงเรื่อง” แต่อย่างไร โดยจะพิจารณาให้เร็วที่สุดจะยีดกฎหมายความถูกต้องเป็นธรรมเป็นหลัก รวมไปถึงไม่กังวลถึงอนาคตข้างหน้าว่าจะถูกเช็กบิลหลังจากเกษียณอายุราชการไปแล้ว

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพบางอย่างก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณาปฏิกิริยาตอบโต้ของฝ่ายอำนาจรัฐในปัจจุบันทั้งในระดับรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และระดับกองทัพ หลังจากที่ ทักษิณ ชินวัตร ไปกล่าวให้ร้ายโจมตีการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในทำนองว่าล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง โดยกล่าวในทำนองเยาะเย้ยว่า “ไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้าน (เท่าเขา) และยังพาดพิงให้ร้ายสถาบันองคมนตรีและกองทัพว่าสมรู้ร่วมคิดกันก่อรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา โดยเป็นการให้สัมภาษณ์ที่กาหลีใต้ระหว่างไปบรรยายที่นั่นซึ่งบังเอิญว่าเป็นช่วงครบรอบ 1 ปี การรัฐประหารของ คสช.พอดี

จากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรงทันทีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยระดับรัฐบาล ผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศมีการสั่งเพิกถอนหนังสือเดินทางของไทยที่ ทักษิณ ชินวัตรมีอยู่ทุกเล่ม ส่วนระดับกองทัพก็มีการมอบอำนาจจากผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ให้ดำเนินคดีฐานพาดพิงทำให้กองทัพเสียหาย

หลังจากนั้น ก็มีความเคลื่อนไหวออกมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร โดยมี พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) เป็นประธาน รวมไปถึงความเคลื่อนไหวในการเรียกคืนเครื่องราชฯ ตามขั้นตอน ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันแบบที่ไม่เคยจริงจังแบบมีมาก่อนในช่วงที่ผ่านมานานนับสิบปี ผ่านมาหลายรัฐบาล ทั้งรัฐบาลสมัย คสช.รัฐบาล “หุ่นเชิด” รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ทุกอย่างก็หยุดนิ่ง หรือออกมาในทางตรงกันข้ามในยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ทำภารกิจแรกด้วยการเดินทางไปมอบหนังสือเดินทางที่เคยถูกเพิกถอนในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ให้ใหม่ ทั้งที่สถานะของ ทักษิณ คือ นักโทษหลบหนีคำพิพากษาจำคุก หลบหนีหมายจับในคดีทุจริตหลายคดี

หากพิจารณาเปรียบเทียบกับนักโทษรายอื่นประเภทที่มียศตำแหน่งก็จะถูกถอดยศกันไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในแต่ละปีมีอดีตข้าราชการจำนวนมากมีทั้งตำรวจ ทหาร แต่ก็น่าแปลกใจเมื่อมาถึง ทักษิณ ชินวัตร กลับลอยนวลอยู่ได้นานนับสิบปี เพราะถ้าพิจารณาจากเหตุผลด้านการเมืองที่เขามีลูกน้องมากทั้งในวงราชการทั้งตำรวจและทหาร ที่ผ่านมา ยังเคยผู้บริหารระดับสูงบินไปให้เขาติดยศให้ ตำรวจบางคนถึงกับให้ความเคารพโจรเป็นพี่ก็ดี เพราะเขาบอกว่า “โจรคนนั้นทำให้ได้ดี” หรืออาจเป็นเพราะมีมวลชนคอยเกื้อหนุนจำนวนมาก มีผลต่ออนาคตข้างหน้าหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนอำนาจใหม่ ซึ่งก็เป็นไปได้

อย่างไรก็ดี หากยึดเอากฎหมายและความถูกต้องอย่างแท้จริง ก็ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันโดยไม่ต้องลังเล ไม่ต้องมาดูรายชื่อว่าว่าคนนั้นคนนี้เป็นใคร หากเป็นความผิดเดียวกันก็ต้องลงโทษดำเนินการทุกเรื่องเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นนายมี นายมา หรือว่า ทักษิณ ชินวัตร เพราะทุกอย่างสามารถอธิบายได้ตามหลักการที่ปฏิบัติชอบ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็คือ ความไร้มาตรฐานหรือว่า “สองมาตรฐาน” เกรงใจกับคนผิด ซึ่งนี่คือจุดอ่อนที่นับวันจะฉุดให้บ้านเมืองล้าหลัง และที่สำคัญ หากเรื่องแบบนี้ยังทำไม่ได้ก็เลิกคิดที่พูดกันถึงเรื่องปฏิรูปบ้านเมืองในทุกด้าน เพราะนั่นต้องใช้ความกล้าหาญ และความเด็ดขาดอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากคำพูดประกอบ ทำให้ต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เคยกล่าวว่า “หากเขา (ทักษิณ ชินวัตร) ยังไม่หยุดพูดก็จะเพิกถอนให้หมด” คำถามก็คือ ถ้าหยุดพูดก็จะไม่ไปแตะต้องยุ่งเกี่ยวอย่างนั้นหรือ และนี่คือการต่อรองให้หยุดหรือเปล่า หรือคำพูดที่ว่า “การเรียกคืนเครื่องราชฯ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน” ก็ใช่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ทุกอย่างมีขั้นตอนบรรทัดฐานให้ปฏิบัติเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว ถ้าเข้าข่ายก็สามารถอธิบายได้ชัดเจน หรือหากไม่เข้าข่ายก็อธิบายได้เช่นเดียวกัน

วกกลับมาที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่หากนับจนถึงครั้งนี้ในวันที่ 11 มิถุนายน ก็ถือว่าเป็นรอบที่สามซึ่งถือว่า “ผิดปกติ” อย่างยิ่ง โดยครั้งแรกที่มีการตีกลับอ้างว่าคณะกรรมการยังลงนามกันไม่ครบก็ยังพอเข้าใจได้ แต่มีครั้งที่สอง และอาจมีครั้งที่สาม มันก็ย่อมมองเป็นแนวโน้มอนาคตว่าจะออกไปในแนว “ปาหี่” ท่าดีทีเหลว มาอีหรอบเดิมอีก เพราะที่ผ่านมาไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกับประธานคณะกรรมการพิจารณาฯจะไม่ยกหูหรือคุยกันนอกรอบเพื่อกำหนดกรอบการพิจารณาให้ชัดเจนกันก่อน เพราะถ้ามีการตีกลับหรือยังไม่ดำเนินการใดๆ อีกคนที่ต้องถูกพิจารณาก็น่าจะเป็น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล นั่นแหละ

และเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาคำพูดก่อนหน้านี้ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่กล่าวในทำนองว่า รับนโยบายและยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของ “สองคน” คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างไม่มีเงื่อนไข มันก็น่าคิดเหมือนกัน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น