สน.พระอาทิตย์
เมื่อ พล.ต.อ.สมยศ ต้องการให้แจกแจงพฤติการณ์ไม่สมควรให้ดำรงอยู่ในยศตำรวจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงไม่น่าจะไม่สร้างปัญหาอะไรแก่คณะกรรมการชุด พล.ต.อ.ชัยยะ ในการจะเสริมเข้าไปตามความต้องการของนายใหญ่กรมปทุมวัน เพราะพฤติการณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำไว้เขียนบรรยายได้เป็นมหากาพย์แห่งความชั่วเลยทีเดียว
“ไม่ยื้อ” ก็เหมือน “ยื้อ” การดำเนินการถอดยศ “พ.ต.ท.” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง แม่ทัพใหญ่สีกากี มอบหมายให้ “บิ๊กอ้วน” พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) เป็นประธานคณะกรรมการถอดยศข้าราชการตำรวจ ผ่านมาเกือบจะ 2 อาทิตย์ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าชัดเจนให้เห็นเป็นรูปธรรม
ตลอดสัปดาห์มีเพียงเรื่องงาน “เอกสาร” งาน “ธุรการ” โยนไม้กันไป โยนไม้กันมา ตามที่ พล.ต.อ.สมยศมอบให้ พล.ต.อ.ชัยยะไปพิจารณาเสนอเรื่องขึ้นมา เมื่อ พล.ต.อ.ชัยยะเสนอเรื่องขึ้นมา พล.ต.อ.สมยศก็บอกให้กลับไปทำใหม่ เพราะกระบวนการยังไม่สมบูรณ์ ไม่มีรายเซ็นคณะกรรมการที่ลงความเห็นรับรองมา
พอ พล.ต.อ.ชัยยะนำไปให้คณะกรรมการทั้งหมดเซ็นรับรองความเห็นที่เสนอ ส่งกลับมาให้ พล.ต.อ.สมยศอีกครั้ง “บิ๊กอ๊อด” ก็ตีกลับรอบสอง ด้วยเหตุผลยังไม่สมบูรณ์ในส่วนขององค์ประกอบในการพิจารณาการถอดยศ ซึ่งยึดตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547
ตามแนวทางของ พล.ต.อ.สมยศ วางหลักการพิจารณา “ถอดยศ” ไว้ว่าต้องพิจารณาจาก 2องค์ประกอบหลัก คือ 1. พฤติกรรมข้าราชการตำรวจคนนั้นสมควรเสนอให้มีการถอดยศ โดยมีรายละเอียด 7 เหตุผลด้วยกัน 2. มีพฤติการณ์ไม่สมควรให้ดำรงอยู่ในยศตำรวจ เช่น ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม มีเรื่องให้เสื่อมเสียแก่ตนเองหรือหมู่คณะ
“ในเอกสารพิจารณาการถอดยศที่ส่งมาให้ผมนั้น ลงความเห็นมาในองค์ประกอบแรกเท่านั้น ขณะที่องค์ประกอบที่สองยังไม่ลงความเห็นมา คือ ไม่ได้แจกแจงขยายความว่าตำรวจนายนั้นกระทำความเสื่อมเสียอะไรและเสื่อมเสียเกียรติภูมิของตำรวจอย่างไรจึงสมควรถูกถอดยศ”
นั่นคือเหตุผลที่ “บิ๊กอ๊อด” ตีกลับมติเสนอให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ และให้ไปทำให้องค์ประกอบที่สองครบถ้วน และกำหนดให้รายงานผลกลับมาภายในวันที่ 11 มิ.ย. 2558
อย่างไรก็ดี หากพลิกไปดูระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 เนื้อหาระบุไว้ว่า เนื่องจากผู้ที่ดำรงอยู่ในยศตำรวจ สมควรจะประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ มิฉะนั้น ย่อมเป็นทางนำความเสื่อมเสียมาสู่หมู่คณะ โดยเหตุผลดังกล่าว หากผู้ใดประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศตำรวจต่อไป อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (4) มาตรา 28และมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 จึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1. การเสนอขอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ว่าทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้ศาลจะพิพากษารอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ก็ตาม (2) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท (3) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะก่อให้เกิดหนี้สินขึ้นโดยทุจริต (4) กระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ (5) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ (6) ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ (7) ถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ก่อนได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ
ก็ดูจะขัดๆ ต่อแนวทางของ “บิ๊กอ๊อด” ที่วางแนวทางการ “ถอดยศ” ไว้ว่าต้องพิจารณา 2 องค์ประกอบหลัก คือ 1.พฤติกรรมข้าราชการตำรวจคนนั้นสมควรเสนอให้มีการถอดยศ โดยมีรายละเอียด 7 เหตุผลด้วยกัน 2.มีพฤติการณ์ไม่สมควรให้ดำรงอยู่ในยศตำรวจ เพราะตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ข้อ 1. ระบุ
“การเสนอขอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้วให้กระทำได้เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง....”
ชัดเจนไม่ต้องขยายความใดๆ เพราะตามข้อพิจารณาความเห็นของคณะกรรมการชุดพล.ต.อ.ชัยยะ มีความเห็นสมควรถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเข้าข่ายในข้อ 1 (6) ที่ระบุ ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งๆที่ นอกจากเข้าข่ายในข้อ 1 (6) แล้ว ก็ยังน่าจะเข้าข่ายข้อ 1 (2) ที่ระบุ ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
ซึ่งกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก จากนั้นพ.ต.ท.ทักษิณก็หลบหนีไม่มาฟังคำสั่งศาลออกไปอยู่ต่างประเทศ และเคลื่อนไหวสร้างผลกระทบทางการเมืองในประเทศไทยมาตลอด
ที่สำคัญเมื่อไล่เรียงเนื้อหา ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ก็ไม่ได้ระบุให้พิจารณา ข้อ 2.มีพฤติการณ์ไม่สมควรให้ดำรงอยู่ในยศตำรวจ เช่น ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม มีเรื่องให้เสื่อมเสียแก่ตนเองหรือหมู่คณะ ตามที่ พล.ต.อ.สมยศ ต้องการเอาไว้อย่างชัดเจน แบบที่ต้องดำเนินการพิจารณามาควบคู่ก่อนเสนอถอดยศด้วย
ถ้าจะมีก็ เพียงแค่ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ข้อ 2หน้าที่ความรับผิดชอบในการพิจารณาและดำเนินการถอดยศตำรวจ (3) ให้ ทุกหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับทราบข้อมูลการต้องหาคดีอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือถูกฟ้องในคดีล้มละลายอันเนื่องมาจากการก่อหนี้สินขึ้นโดยทุจริตของผู้ ที่ดำรงยศตำรวจทั้งในส่วนของผู้ที่พ้นจากราชการไปแล้ว หรือยังคงรับราชการอยู่ในหน่วยงานอื่นของรัฐหาข้อมูลเบื้องต้นให้แน่ชัดแล้ว ส่งเรื่องให้กองวินัยพิจารณา หากเห็นว่าผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศก็ให้ส่งเรื่องไปยังกอง ทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา ถอดยศต่อไป
แต่เมื่อ พล.ต.อ.สมยศ ต้องการให้แจกแจงพฤติการณ์ไม่สมควรให้ดำรงอยู่ในยศตำรวจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงไม่น่าจะไม่สร้างปัญหาอะไรแก่คณะกรรมการชุด พล.ต.อ.ชัยยะ ในการจะเสริมเข้าไปตามความต้องการของนายใหญ่กรมปทุมวัน เพราะพฤติการณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำไว้เขียนบรรยายได้เป็นมหากาพย์แห่งความชั่วเลยทีเดียว
แม้ พล.ต.อ.สมยศ จะออกอารมณ์ “โมโห” ทุกครั้งที่ถูกถามว่า “ยื้อ” เรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ รวมทั้งประกาศเสียงดังฟังชัด ด้วยสีหน้าเขม็งเกรียว “ไม่มีการยื้อ ไม่มีกลัว จำไว้ แต่ผมทำอะไรต้องถูกต้อง ชัดเจน ตอบสังคมได้” จะเป็นคำพูดที่มัดตัวตนคนชื่อ “สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” เอง