ผ่าประเด็นร้อน
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจจะเบาตัวไป ไม่ต้องมาเตรียมตัวสู้คดีให้ยุ่งยากมากความเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสำนวน เมื่อทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาเปิดเผยเบื้องต้นถึงความคืบหน้าการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีคดีคำร้องขอให้ถอดถอน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีคืนหนังสือเดินทางให้นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร โดยมิชอบ
ทั้งนี้ มีข่าวว่า จะมีการนำเข้าที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. ภายในเดือน มิ.ย. นี้ ว่า จะมีการแจ้งข้อกล่าวหากับ สุรพงษ์ และ ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ แต่เบื้องต้นทีมไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. ได้สรุปว่า ยิ่งลักษณ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากเป็นไปตามนี้ คือ มติของคณะอนุกรรมการไต่สวนและที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. เห็นด้วยว่า ไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาและชี้มูล ยิ่งลักษณ์ ได้ ก็เท่ากับ ยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องมาสู้คดีคืนพาสปอร์ตให้พี่ชาย ทักษิณ ให้กวนใจอีกหนึ่งคดี เพราะลำพังแค่ต้องเดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯทุกนัดในคดีที่ตัวเองเป็นจำเลยเรื่องรับจำนำข้าว ที่ศาลสั่งให้ต้องมาทุกนัด เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ก็น่าจะทำให้ ยิ่งลักษณ์ เครียดพออยู่แล้ว หากต้องมีคดีมากวนใจอีกหนึ่งเรื่อง คงอกแตกตายกันพอดี
ว่ากันตามจริงแล้ว คดีนี้การจะไปเอาผิดยิ่งลักษณ์ มันก็เป็นเรื่องยาก เพราะแตกต่างจากคดีรับจำนำข้าวมาก เนื่องจากแม้ในทางพฤตินัย ยิ่งลักษณ์ จะคือน้องสาวทักษิณ แต่การจะเชื่อมโยงว่า รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ คืนพาสปอร์ตให้กับทักษิณ ที่เป็นพี่ชายนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ทางเดินของคดีมันไปได้ยาก ในทำนองว่า มีการสั่งการ หรือร้องขอให้ช่วยเหลือ เพราะยากจะหาพยานหลักฐาน ไม่เหมือนกับคดีรับจำนำข้าว ที่เอาผิดได้ในฐานะ ประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติโดยตำแหน่ง หรือ กรณีที่ ป.ป.ช. กับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มีหนังสือท้วงติงให้ยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวถึงยิ่งลักษณ์โดยตรง แต่ยิ่งลักษณ์ไม่ดำเนินการใดๆ
อีกทั้งเรื่องนี้จะพบว่า ยิ่งลักษณ์ไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆ ปล่อยให้ สุรพงษ์ รับหน้าเสื่อไปทั้งหมด
ก็คงเป็น “เดอะปึ้ง” สุรพงษ์ ที่ต้องลุ้นหนักหน่อย และอาจต้องเตรียมตัวสู้คดีคืนพาสปอร์ตให้ทักษิณ หากสุดท้าย ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด ซึ่งต้องรอดูว่า จะมีการแจ้งฐานความผิดกันอย่างไร เพราะเป็นไปได้สูงที่หากสุรพงษ์ไม่รอด ก็จะโดนทั้งคดีถอดถอนในชั้น สนช. และถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่จะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อให้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ด้วยอีกทางหนึ่ง
หากสุดท้าย สุรพงษ์ ไม่รอดขึ้นมาจริงๆ ก็คงมีชะตากรรมเดียวกับยิ่งลักษณ์ คือ ต้องลุ้นไม่ให้ถูกสนช. ถอดถอน เพราะหากโดนถอดถอน ก็พักการเมืองยาว 5 ปี รวมถึงอาจต้องลุ้นคดีความในชั้นศาลฎีกาฯ ด้วย หาก ป.ป.ช. เอาผิดคดีอาญาและอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องขึ้นมา
พูดถึงเรื่องคดีความอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์ - แกนนำพรรคเพื่อไทย - อดีต ส.ส. เพื่อไทย ไม่รู้เป็นไง ช่วงนี้ ประดังกันเข้ามาเพียบติดๆ กันไปหมด
อย่าง ยิ่งลักษณ์ แม้มีโอกาสรอด ไม่ต้องมาคอยสู้คดีคืนพาสปอร์ต แต่ก็ยังต้องลุ้นจะโดน ป.ป.ช. ฟันในคดีจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบทางการเมืองจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ที่ ป.ป.ช. ได้แจ้งข้อกล่าวหากับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี และ ครม. “ยิ่งลักษณ์ 1” กรณีมีมติอนุมัติและจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ปี 2548 - 2553 ที่ ป.ป.ช. เห็นว่าทำโดยไม่มีอำนาจ และไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งตอนนี้คดีอยู่ระหว่างการให้ ยิ่งลักษณ์ และ อดีตรมต. ในขณะนั้น ใช้สิทธิชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ในเวลานี้ โดยหาก ป.ป.ช. เห็นว่า ยิ่งลักษณ์และพวก ชี้แจงแล้วฟังไม่ขึ้น แก้ข้อกล่าวหาไม่ได้ ก็จะมีการชี้มูลความผิดต่อไป
เมื่อดูจากปมที่ ป.ป.ช. ตั้งข้อกล่าวหายิ่งลักษณ์และพวกในคดีจ่ายเงินเยียวยาเอาไว้ ถือว่าหนักหนาเอาการทีเดียว
ไม่ใช่แค่ยิ่งลักษณ์และพวกอดีต รมต. ในรัฐบาลเพื่อไทยเท่านั้น ที่ต้องลุ้นเรื่องคดีความต่างๆ พวกอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย เกือบทั้งหมด ก็ต้องลุ้นเช่นกัน อย่างที่กำหนดคิวออกมาแล้ว ก็คือ คดีถอดถอนอดีต 248 ส.ส. กรณีกระทำความผิดรัฐธรรมนูญ 2550 เนื่องจากร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ตามที่ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดไปก่อนหน้านี้
โดยล่าสุดสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะมีการประชุมเพื่อกำหนดวันแถลงเปิดสำนวนในวันที่ 26 มิ.ย. นี้ ซึ่งอดีต ส.ส. 248 คน ดังกล่าวส่วนใหญ่ก็คือ อดีต ส.ส. เพื่อไทย เกือบทั้งพรรคนั่นเอง เมื่อคดีนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย. ก็คาดว่าไม่เกิน กลางเดือนสิงหาคม ก็น่าจะรู้ผลแล้วว่า สนช. จะมีมติถอดถอนอดีต ส.ส. 248 คนดังกล่าวหรือไม่
แค่นี้ยังไม่พอ ยังมีคดีที่ ป.ป.ช. กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมสรุปว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีอาญา กับอดีต ส.ส. 310 คน ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ หรือกฎหมายล้างผิดหรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตั้งองค์คณะไต่สวนสำนวนนี้ โดยมีกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คนเป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงในทางอาญา ส่วนกรณีการถอดถอนนั้น ป.ป.ช.ได้ตีตกไปแล้ว เนื่องจากไม่มีรัฐธรรมนูญปี 2550 อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เกือบทั้งพรรค จึงเหลือรอลุ้นคดีสองคดีสำคัญคือ คดีถอดถอนในชั้น สนช. จากเรื่องแก้ไข รธน. กับคดีอาญา จากผลพวงร่วมกันเสนอและเห็นชอบกฎหมายนิรโทษกรรม
โอกาสที่ อดีต ส.ส.เพื่อไทย ทั้งหมดจะรอดพ้นความผิด โดยเฉพาะในการถอดถอนของ สนช. มีมาก เพราะก่อนหน้านี้ สนช. ชุดนี้ ก็ลงมติไม่ถอดถอนอดีต ส.ว. 38 คน จากเรื่องนี้มาแล้ว ดังนั้น หากจะมาถอดถอนอดีต ส.ส. 248 คน ที่ส่วนใหญ่เป็น อดีต ส.ส. เพื่อไทย ในกรณีเดียวกัน มันก็คือปฏิบัติการล้างบางพรรคเพื่อไทยให้ราบคาบกันไปเลย ถือว่าเป็นการหักกันที่รุนแรงมากทางการเมือง
จึงเชื่อว่า ยากมากที่ สนช. จะถอดถอนอดีต ส.ส. 248 คน เพราะไม่เห็นสัญญาณอะไรที่ สนช. และ คสช. จะต้องเล่นเกมแรงกับเพื่อไทยจากเรื่องนี้
ส่วนการเอาผิดคดีอาญากับอดีต ส.ส. เพื่อไทย ที่เสนอและเห็นชอบพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ยังต้องรอดูความชัดเจนจาก ป.ป.ช. อีกรอบ ว่า จะมีการเอาผิดกับ อดีต ส.ส. 310 คนดังกล่าวอย่างไร ถึงจะทำให้คดีมีน้ำหนัก ในเมื่อการเสนอและพิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติ เป็นเอกสิทธิ์ และอำนาจหน้าที่ของ ส.ส. ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตลอด แม้ในทางการเมืองจะรู้กันทั้งประเทศว่า อดีต ส.ส. เพื่อไทย ทั้งหมดร่วมกันออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อช่วยเหลือ นายใหญ่ - ทักษิณ ให้พ้นความผิดคดีอาญาได้กลับประเทศ แถมได้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ที่ถูกยึดทรัพย์คืนมา
แต่การจะเอาผิดในคดีอาญาคดีนี้ หลายคนก็มองว่า มันยากไม่น้อยที่จะเชื่อมโยงองค์ประกอบความผิดทั้งหมด เพื่อเอาผิดกับอดีต ส.ส. 310 คน ดังกล่าวได้ ซึ่งหาก ป.ป.ช. ฟันพวกนี้ขึ้นมาจริง คงต้องดูว่า จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และลักษณะการทำความผิด ในสำนวนอย่างไร