“ยังไงผมก็ชนะท่านอยู่แล้ว” ตอกย้ำคำพูด “บิ๊กตู่” ก่อนวันถอนพาสปอร์ต “ทักษิณ ชินวัตร” เผยหนังสือเดินทาง 2 เล่มเป็นประเภทบุคคลทั่วไป ออกให้สมัย “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” เป็น รมว.ต่างประเทศ “ปึ้ง” ย้ำหากกลับมาเป็นรัฐบาลคืนพาสปอร์ตให้นายใหญ่อีก ด้านรองโฆษกรัฐยันไม่ได้แกล้งใคร แม้ “ทักษิณ” ยังมีพาสปอร์ตมอนเตเนโกร
วันนี้ (27 พ.ค.) นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าในการยกเลิกพาสปอร์ต 2 เล่ม ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยยอมรับว่า เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงได้เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ภายในอำนาจหน้าที่ ในเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้พิจารณาเห็นว่าถ้อยคำการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ปลอดภัย หรือชื่อเสียง และเกียรติภูมิของประเทศไทย ประกอบกับกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบสวนสวบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 326 และ 328 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3) และ(5) กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าข่ายที่จะยกเลิกหนังสือเดินทาง ตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ข้อ 21 (4) และข้อ 23 (2) จึงได้ประกาศยกเลิกหนังสือเดินทาง เลขที่ U 957441 และเลขที่ Z530117 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2558
สำหรับหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่มดังกล่าว เป็นหนังสือเดินทางประเภทบุคคลทั่วไป ที่ออกให้ในสมัยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็น รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยหนังสือเดินทางธรรมดา (หน้าปกสีแดงเลือดหมู) ออกให้สำหรับประชาชนทั่วไป มีอายุไม่เกิน 5 ปี
ขณะที่ปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณ มีพาสปอร์ตของประเทศมอนเตเนโกร และประเทศนิการากัวใช้อยู่
มีรายงานว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ถึงเวลาที่ คสช.จะได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการถอนพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งแล้ว เพราะพิจารณาจากคดีความที่หลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท รวมถึงคดีที่ศาลต้องหยุดพิจารณาคดีชั่วคราวอีกหลายคดี เพราะจำเลยหลบหนี เป็นเหตุผลมากเกินพอที่จะต้องปฏิบัติในเรื่องการยกเลิกพาสปอร์ต ทักษิณไม่ต้องใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 หรอกครับ เพียงแค่กฎหมายปกติกับกฎกระทรวง และใช้ความกล้าหาญตัดสิน
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ก็ออกมาระบุตอนหนึงว่า “ไม่ใช่ใครพูดทีก็ตกใจที พูดมาทีก็ข้ามไม่พ้นเสียที อะไรที่เป็นความเลวร้ายถ้าหยุดไปก็จบ ถ้าเขาอยากจะพูด ก็พูดไป ผมก็พูดอย่างเดียว ถ้าถูกกฎหมายก็กลับมา ถ้าไม่ถูกกฎหมายแสดงว่าเขาผิดกฎหมาย เขากลับบ้านไม่ได้นั่นแหละคือเรื่องของผม”
“ยังไงผมก็ชนะท่านอยู่แล้ว ผมเชื่อมั่นทำความดี ไม่ต้องกลัว”
รองโฆษกรัฐบาลยันไม่ได้แกล้งใคร แม้ “แม้ว” ยังมีพาสปอร์ตมอนเตเนโกร
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้ที่ดูแลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการกระทำความผิดกฎหมายในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมสถิติบุคคลที่เข้าข่ายที่จะต้องถูกถอนพาสปอร์ต ส่งมายังกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณถือว่าอยู่ในข่ายที่ถูกถอดถอนพาสปอร์ตด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจ้องทำแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นเพราะทางตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชงเรื่องเข้ามา ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาไปตามความผิดที่มีอยู่จริง ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการก็ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ฉะนั้นจำเป็นต้องทำตามกฎหมาย
ส่วนเป็นเพราะเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดที่เกาหลีใต้ใช่หรือไม่ พล.ต.วีรชนกล่าวว่า เหตุเกิดจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณกระทำความผิดกฎหมายของไทยเป็นหลักอยู่ในกรอบที่ต้องถูกถอนพาสปอร์ต และหน่วยงานที่รับผิดชอบเสนอเรื่องมา
เมื่อถามว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อมีรายงานก่อนหน้านี้แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถือพาสปอร์ตมอนเตเนโกร พล.ต.วีรชน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีหรือไม่มีประโยชน์ แต่เป็นเรื่องของหลักเกณฑ์ และกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ
“ปึ้ง” ย้ำกลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบจะคืนทั้ง 2 เล่ม
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้สั่งยกเลิกไปครั้งหนึ่งแล้ว โดยให้เหตุผลว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ
“และเมื่อผมมาเป็น รมว.ต่างประเทศ ก็สั่งให้คืนหนังสือเดินทาง เพราะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำความเสียหายอะไรให้กับประเทศ มาครั้งนี้ก็เป็นสิทธิ เป็นอำนาจของ รมว.ต่างประเทศ ที่จะคิดเห็นอย่างไร แต่ถ้าผมกลับมาเป็นรัฐบาลอีกก็จะคืนหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนเดิม เพราะเรามองว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ทำความเสียหายอะไร”
อดีต รมว.ต่างประเทศในรัฐบาลยิ่งลักษณ์บอกด้วยว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาแสดงความคิด แสดงความเห็น ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร อยู่ที่ประชาชนที่ได้รับฟังจะเชื่ออย่างไร ซึ่งการแสดงความเห็นถือเป็นสิทธิที่จะปิดกั้นไม่ได้ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นฝ่ายที่ถูกกระทำมาตลอด ก็ควรจะมีสิทธิ ที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง
ย้อนรอย รัฐบาลอภิสิทธิ์ถอนพาสปอร์ตแม้ว ก่อน “ปึ้ง” คืน
มีรายงานว่า ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำหนังสือถึงรัฐบาล ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ดำเนินการชี้แจงเรื่องที่ “กระทรวงการต่างประเทศไม่ยอมทบทวนการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี”
ก่อนหน้านั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีหนังสือจากผู้ตรวจว่าผู้ต้องหาคดีอาญาเป็นการกระทำที่ขัดระเบียบว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ของกระทรวงการต่างประเทศ
โดยนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงการต่างประทศขณะนั้น มีหนังสือแจ้งกลับไปยัง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานต่อคณะทำงานที่สำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งขึ้น ยืนยันว่าการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการคืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางเดิมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กระทรวงการต่างประเทศเคยออกให้เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 50 และถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 52 เพราะหลังรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ใช้อำนาจตามข้อ 23 (7) ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง 2548 พิจารณาเห็นว่าการคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยและต่างประเทศ
ทั้งนี้ ในกรณีของหนังสือเดินทางทุกประเภทหากถูกยกเลิกแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด เมื่อได้รับสิทธิให้มีหนังสือเดินทาง บุคคลนั้นจะไม่สามารถใช้หนังสือเดินทางเล่มเดิมได้ การคืนสิทธิจึงจำเป็นต้องออกหนังสือเดินทางเล่มใหม่ให้ และเมื่อกระทรวงการต่างประเทศมีการยืนยันดังกล่าว ทางคณะทำงานของสำนักนายกรัฐมนตรีจึงไม่อาจก้าวล่วงได้
นอกจากนี้ หนังสือของนายพงศ์เทพยังระบุด้วยว่า ในส่วนที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอให้ปรับปรุงระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทางข้อ 21 (2) ที่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลพินิจในการพิจารณาออกหรือไม่ออกหนังสือเดินทางให้กับบุคคลที่มีปัญหาทางกฎหมาย เช่น เป็นผู้ต้องหาคดีอาญานั้น คณะทำงานมีข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะหนังสือเดินทางเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน จึงทำให้ระเบียบฯ ดังกล่าวถูกวางในลักษณะเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลพินิจในการพิจารณาตัดสินว่าจะออกหรือไม่ออกหนังสือเดินทางให้กับบุคคล รวมถึงกรณีหากมีการคืนสืทธิการมีหนังสือเดินทางให้กับบุคคลที่เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ย่อมน่าจะเป็นผลดีให้ราชการสามารถทราบความเคลื่อนไหวและสืบหาถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศของบุคคลดังกล่าวได้
ขณะที่กลุ่มกรีนในขณะนั้น ได้ส่งคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในการสอบสวนเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ม.157