ศาลปกครองสูงสุดนัดพิจารณาคดีเหยื่อซานติก้าฟ้อง กทม. ตุลาการผู้แถลงคดีเสนอ กทม.ละเลยหน้าที่ เห็นควรให้ชดใช้ค่าเสียหายครอบครัวเหยื่อ 6 รายเพิ่ม เป็นเงินเกือบ 3 ล้าน ก่อนนัดฟังคำพิพากษาต่อไป
วันนี้ (26 พ.ค.) ศาลปกครองสูงสุด โดยคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด องค์คณะที่ 5 ออกบัลลังก์นั่งพิจารณาคดีที่ นางเอสเตอร์ เยียน เชน เลาพิกานน์ มารดาของนายมาร์ค เลาพิกานนท์ เหยื่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้สถานบันเทิงซานติก้าผับ เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2551 กับพวกซึ่งเป็นญาติของเหยื่อและเหยื่อในเหตุการณ์ดังกล่าว รวม 12 คน ยื่นฟ้องกทม.ว่ากระทำละเมิดและไม่ควบคุมดูแลสถานบริการซานติกาผับย่านเอกมัย เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้จนเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 12 คนได้รับความเสียหาย เป็นครั้งแรก เพื่อให้คู่กรณีสองฝ่ายแถลงปิดคดี
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2555 ศาลปกครองกลางเคยมีคำพิพากษาให้ กทม.ต้องรับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 12 คน ตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 รวมเป็นเงินประมาณ 3,405,235บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ทั้งนี้ ภายในกำหนด 30 วันนับแต่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
สำหรับผู้ฟ้องคดีที่ได้รับเงินสินไหมชดเชย ทั้ง 12 คน มีดังนี้ ผู้ฟ้องที่ 1 นางเอสเตอร์ เยียน เชน เลาพิกานน์ มารดาของนายมาร์ค เลาพิกานนท์ ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 140,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 2 นางมุ้ยเกียง ถนอมปัญญารักษ์ มารดาของ น.ส.วิภาวรรณ ถนอมปัญญารักษ์ ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 68,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 3 นายสนธยา บุญพรม บิดาของนายเฉลิมชนม์ บุญพรม ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 308,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 4 นายศักดิ์สิทธิ์ เทียนทอง บิดาของ น.ส.วริฉัตร เทียนทอง ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 236,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 5 น.ส.มัทริน อยู่โต บุตรสาวของนายต่อศักดิ์ อยู่โต ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 128,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 6 นางพนิดา โพธิ์ศรี ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอาทิตย์ ปฐมานุรักษ์ ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 740,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 7 น.ส.ธนัชชา สุนทรชัย ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 191,570 บาท
ผู้ฟ้องคดีที่ 8 น.ส.ปรียานุช พึงลำภู ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 250,888 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 9 น.ส.กาญจนา นาคขวัญ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 279,306 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 10 น.ส.ศศินันท์ ชาญการไถ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 550,600 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 11 นายวราวุธ นาคพัฒน์ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 263,048 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 12 น.ส.รัตนา แซ่ลิ้ม ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 249,823 บาท แต่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 12 รายยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาเนื่องจากเห็นว่าคำพิพากษายังไม่เป็นธรรม
ต่อมานายภาณุพันธ์ ชัยรัต ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ประจำศาลปกครองสูงสุด ในฐานะตุลาการผู้แถลงคดีได้เสนอความเห็นในคดีโดยไม่ผูกพันคำพิพากษาต่อองค์คณะตุลาการเจ้าของสำนวนว่า จากข้อเท็จจริงในคดีนี้เห็นว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารกำหนดให้ต้องปฏิบัติ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จึงเห็นควรที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาให้ กทม.ชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจที่เกิดจากการกระทำละเมิดเพิ่มเติมจากเงินค่าสินไหมทดแทน แก่ ผู้ฟ้องที่ 1 นางเอสเตอร์ เยียน เชน เลาพิกานน์ ในฐานะมารดาของนายมาร์ค เลาพิกานนท์ ผู้ตาย, ผู้ฟ้องคดีที่ 2 นางมุ้ยเกียง ถนอมปัญญารักษ์ ในฐานะมารดาของ น.ส.วิภาวรรณ ถนอมปัญญารักษ์ ผู้ตาย, ผู้ฟ้องคดีที่ 3 นายสนธยา บุญพรม ในฐานะบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเฉลิมชนม์ บุญพรม ผู้ตาย, ผู้ฟ้องคดีที่ 4 นายศักดิ์สิทธิ์ เทียนทอง ในฐานะบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ น.ส.วริฉัตร เทียนทอง ผู้ตาย และผู้ฟ้องคดีที่ 5 น.ส.มัทริน อยู่โต บุตรสาวของนายต่อศักดิ์ อยู่โต ผู้ตาย เป็นเงินรายละ 500,000บาท ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 6 นางพนิดา โพธิ์ศรี ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอาทิตย์ ปฐมานุรักษ์ ผู้ตาย ให้ กทม.ชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจที่เกิดจากการกระทำละเมิดเพิ่มเติมจากเงินค่าสินไหมทดแทน เป็นเงินจำนวน 450,000บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,950,000 บาท และให้ยกฟ้องในส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 7-12 จากนั้นองค์คณะตุลาการเจ้าของสำนวนได้จบกระบวนการพิจารณา และจะนัดให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาฟังคำพิพากษาต่อไป
วันนี้ (26 พ.ค.) ศาลปกครองสูงสุด โดยคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด องค์คณะที่ 5 ออกบัลลังก์นั่งพิจารณาคดีที่ นางเอสเตอร์ เยียน เชน เลาพิกานน์ มารดาของนายมาร์ค เลาพิกานนท์ เหยื่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้สถานบันเทิงซานติก้าผับ เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2551 กับพวกซึ่งเป็นญาติของเหยื่อและเหยื่อในเหตุการณ์ดังกล่าว รวม 12 คน ยื่นฟ้องกทม.ว่ากระทำละเมิดและไม่ควบคุมดูแลสถานบริการซานติกาผับย่านเอกมัย เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้จนเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 12 คนได้รับความเสียหาย เป็นครั้งแรก เพื่อให้คู่กรณีสองฝ่ายแถลงปิดคดี
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2555 ศาลปกครองกลางเคยมีคำพิพากษาให้ กทม.ต้องรับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 12 คน ตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 รวมเป็นเงินประมาณ 3,405,235บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ทั้งนี้ ภายในกำหนด 30 วันนับแต่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
สำหรับผู้ฟ้องคดีที่ได้รับเงินสินไหมชดเชย ทั้ง 12 คน มีดังนี้ ผู้ฟ้องที่ 1 นางเอสเตอร์ เยียน เชน เลาพิกานน์ มารดาของนายมาร์ค เลาพิกานนท์ ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 140,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 2 นางมุ้ยเกียง ถนอมปัญญารักษ์ มารดาของ น.ส.วิภาวรรณ ถนอมปัญญารักษ์ ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 68,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 3 นายสนธยา บุญพรม บิดาของนายเฉลิมชนม์ บุญพรม ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 308,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 4 นายศักดิ์สิทธิ์ เทียนทอง บิดาของ น.ส.วริฉัตร เทียนทอง ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 236,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 5 น.ส.มัทริน อยู่โต บุตรสาวของนายต่อศักดิ์ อยู่โต ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 128,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 6 นางพนิดา โพธิ์ศรี ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอาทิตย์ ปฐมานุรักษ์ ผู้ตาย ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 740,000 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 7 น.ส.ธนัชชา สุนทรชัย ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 191,570 บาท
ผู้ฟ้องคดีที่ 8 น.ส.ปรียานุช พึงลำภู ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 250,888 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 9 น.ส.กาญจนา นาคขวัญ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 279,306 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 10 น.ส.ศศินันท์ ชาญการไถ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 550,600 บาท, ผู้ฟ้องคดีที่ 11 นายวราวุธ นาคพัฒน์ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 263,048 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 12 น.ส.รัตนา แซ่ลิ้ม ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 249,823 บาท แต่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 12 รายยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาเนื่องจากเห็นว่าคำพิพากษายังไม่เป็นธรรม
ต่อมานายภาณุพันธ์ ชัยรัต ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ประจำศาลปกครองสูงสุด ในฐานะตุลาการผู้แถลงคดีได้เสนอความเห็นในคดีโดยไม่ผูกพันคำพิพากษาต่อองค์คณะตุลาการเจ้าของสำนวนว่า จากข้อเท็จจริงในคดีนี้เห็นว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารกำหนดให้ต้องปฏิบัติ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จึงเห็นควรที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาให้ กทม.ชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจที่เกิดจากการกระทำละเมิดเพิ่มเติมจากเงินค่าสินไหมทดแทน แก่ ผู้ฟ้องที่ 1 นางเอสเตอร์ เยียน เชน เลาพิกานน์ ในฐานะมารดาของนายมาร์ค เลาพิกานนท์ ผู้ตาย, ผู้ฟ้องคดีที่ 2 นางมุ้ยเกียง ถนอมปัญญารักษ์ ในฐานะมารดาของ น.ส.วิภาวรรณ ถนอมปัญญารักษ์ ผู้ตาย, ผู้ฟ้องคดีที่ 3 นายสนธยา บุญพรม ในฐานะบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเฉลิมชนม์ บุญพรม ผู้ตาย, ผู้ฟ้องคดีที่ 4 นายศักดิ์สิทธิ์ เทียนทอง ในฐานะบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ น.ส.วริฉัตร เทียนทอง ผู้ตาย และผู้ฟ้องคดีที่ 5 น.ส.มัทริน อยู่โต บุตรสาวของนายต่อศักดิ์ อยู่โต ผู้ตาย เป็นเงินรายละ 500,000บาท ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 6 นางพนิดา โพธิ์ศรี ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอาทิตย์ ปฐมานุรักษ์ ผู้ตาย ให้ กทม.ชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจที่เกิดจากการกระทำละเมิดเพิ่มเติมจากเงินค่าสินไหมทดแทน เป็นเงินจำนวน 450,000บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,950,000 บาท และให้ยกฟ้องในส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 7-12 จากนั้นองค์คณะตุลาการเจ้าของสำนวนได้จบกระบวนการพิจารณา และจะนัดให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาฟังคำพิพากษาต่อไป