xs
xsm
sm
md
lg

หัวเลี้ยวหัวต่อเมืองไทย “ลุงตู่” จะพาไปทางไหน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
สะเก็ดไฟ

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ และคณะ จะเกิดขึ้นตามกระแสเรียกร้องของประชาชน หลังจากที่ ครม. และ คสช. ยึกยักอยู่นาน สุดท้ายก็ต้านทานแรงกดดันไม่ไหว ต้องแก้ไขร่าง รธน. ชั่วคราวปี 2557 เพื่อเปิดทางให้มีการทำประชามติ

ขั้นตอนนี้เป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีความหมายต่ออนาคตประเทศไทยโดยตรง เนื่องจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ได้เปิดโอกาสให้มีการร่างรัฐธรรมนูญได้ 7 ชั่วโคตร ทำไม่เสร็จก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ จึงมีสามประเด็นที่ควรติดตาม

1. ถ้าทำประชามติผ่าน คสช. จะแปลงร่างไปเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศที่กำหนดจำนวนไว้ 15 คน เท่ากับ คสช. พอดีหรือไม่ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้หรือไม่ เพราะถือว่าไม่ผิดคำพูดเรื่องตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากเป็นตำแหน่งใหม่ที่อ้างว่าเกี่ยวกับการปฎิรูปจึงไม่ต้องอยู่บนเงื่อนไขการตรวจสอบแบบนักการเมือง ทั้งๆ ที่อำนาจที่รัฐธรรมนูญให้ไว้นั้นถือว่า “ครอบรัฐบาลเลือกตั้ง” ไว้อีกชั้นหนึ่ง ไม่แตกต่างจากการเป็นรัฐบาลเอง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหา “รัฐซ้อนรัฐ” ขึ้นมาในอนาคต

2. การเปิดช่องในร่างรัฐธรรมนูญเรื่องคนนอกเป็นนายกรัฐมนตรี จะถูกนำมาใช้เพื่อให้ใครบางคนกลับไปรับตำแหน่งนายกอีกครั้งหรือไม่ เพราะที่อ้างว่า ส.ส. ก็ต้องเลือก ส.ส. ด้วยกันนั้น ประวัติศาสตร์ชัดเจนว่า พรรคการเมืองจับมือกันไปเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีถึงสองสมัย จนเกิดคำพูดว่า “ผมพอแล้ว” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ที่สำคัญคือ การเปิดช่องแบบเนียนๆ โดยเริ่มจากเลือก ส.ส. เป็นนายกฯเสียงเกินครึ่งแต่ถ้าเลือกคนนอกเป็นนายกฯต้องใช้เสียงสองในสาม ถ้าทั้งสองกรณีนี้มีปัญหาเมื่อครบสามสิบวันไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญได้ ให้ประธานสภานำรายชื่อคนที่มีคะแนนสูงสุดกราบบังคมทูลเกล้าฯแต่งตั้งภายใน 15 วัน

เท่ากับว่าคนที่ได้รับเลือกแม้จะคะแนนไม่ถึงตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดก็ได้เป็นนายกฯไปโดยปริยาย เท่ากับเปิดโอกาสให้คนนอกเป็นนายกฯโดยไม่จำเป็นต้องใช้เสียงสองในสามที่เขียนไว้อำพรางวาระซ่อนเร้นในการสืบทอดอำนาจ

3. ถ้าประชามติไม่ผ่านก็กลับมานับหนึ่งใหม่ อำนาจยังคงอยู่ในมือ คสช. แบบที่ไม่สามารถกำหนดเวลาได้ว่าจะยาวนานแค่ไหน เพราะไม่มีการระบุให้ชัดเจนว่าจะนำรัฐธรรมนูญฉบับใดมาแทนหากร่างดังกล่าวไม่ผ่านการทำประชามติ นอกจากเปิดช่องว่าให้ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างชุดใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น

ทั้งสามแนวทางนี้เห็นได้ชัดเจนว่ามีการวางแผนอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ต้นเพื่อให้มีการคงรักษาอำนาจต่อไป ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่มีการเลือกตั้งก็ตาม

ถ้ามีการเลือกตั้ง คสช. ก็แปลงสภาพมาคุมรัฐบาลอีกที ถ้าไม่มีการเลือกตั้งก็บริหารต่อแบบชิวๆ เพราะคิดว่าประชาชนสนับสนุน

แต่เชื่อเถอะว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แรงสนับสนุนที่เคยได้มากเท่ามาก จะกลายเป็นแรงต้านมากยิ่งกว่าได้ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะทุกอย่างจะค่อยๆ ปรากฏความจริงว่า การรัฐประหารครั้งนี้ทำเพื่อการปฏิรูปอย่างแท้จริง หรือทำเพื่อจัดสรรอำนาจให้ลงตัวระหว่าง “กลุ่มอำนาจ” กับ “นายทุน”

กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จะทยอยคลอดออกมาจะเป็นเครื่องชี้วัดชัดเจนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำเพื่อคนทำผิดเผาบ้านเผาเมืองหรือเพื่อประเทศ เพราะแค่ในรัฐธรรมนูญก็เปิดทางอภัยโทษแบบผิดปกติและเข้าข่ายล่วงละเมิดพระราชอำนาจแล้ว ในกฎหมายลูกจะยัดไส้อะไรอีกแค่ไหน

คนไทยอาจยึดติดกับตัวบุคคลก็จริง แต่ถ้าปรากฏความจริงว่า “บุคคล” นั้น ไม่ใช่ “ของจริง” ก็มีประวัติศาสตร์อยู่แล้วว่า พลเมืองที่ตื่นรู้ รักความถูกต้อง จะลุกขึ้นมาสู้ ไม่ว่ากฎหมายกี่ฉบับก็เอาไม่อยู่

อย่าให้ประเทศไทยต้องเดินไปถึงจุดนั้นเลย ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะทบทวนและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการให้ความจริงกับประชาชน แทนการด่ากราดก็จะเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง

แต่ถ้าคิดผิดหลงทางเพราะอยู่ในช่วงที่คนแวดล้อมประสานเสียงว่า “ได้ครับผม ดีครับท่าน เหมาะสมแล้วครับนาย” ก็จะตัดสินใจโดยใช้ “อำนาจ” เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ยึด “ประเทศ” ตามที่พูดอยู่ทุกวัน

เส้นทางต่อจากนี้จึงถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งต่อบ้านเมือง ประชาชนต้องมีความหนักแน่น และเข้มแข็งมากพอที่จะแยกแยะถูกผิด ชั่วดี โดยไม่หลงไปกับภาพมายาที่สร้างขึ้นมาว่า “นอกจากลุงตู่แล้ว ไม่มีใครปฏิรูปประเทศได้”
กำลังโหลดความคิดเห็น