xs
xsm
sm
md
lg

จับ“ริดเปลี่ยนสี”ถลกหนัง “สั่งสอน”หรือ“เชือดจริง”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

ธาริต เพ็งดิษฐ์
ป้อมพระสุเมรุ

โดนจับตาว่า การสังคายนาระบบราชการใหม่ ด้วยการใช้อำนาจตาม มาตรา 44 รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 เด้งข้าราชการที่พัวพันการทุจริตออกจากตำแหน่งไปนั่งตบยุง เป็นการกลบกระแสผลงานด้านเศรษฐกิจที่ไม่เอาอ่าว ซึ่งได้ผลลัพธ์ดีพอสมควร เพราะประชาชนปรบไม้ปรบมือให้กันเสียงดัง กับช็อตนี้

ขณะเดียวกัน ยังเป็นยุทธศาสตร์ไม่ธรรมดาในการแปรสภาพ มาตรา 44 ไม่ให้ถูกมองในมิติด้านความมั่นคง และการเป็นเครื่องมือเผด็จการอย่างเดียว แต่นำมาใช้ประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างสร้างสรรค์ เสมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว

ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาเรื่องการปราบทุจริตคอร์รัปชัน แม้ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะประกาศเป็นวาระแห่งชาติ แต่รูปธรรมยังจับต้องไม่ได้เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่คดีอยู่ในมือขององค์กรอิสระ หากเข้าไปยุ่มย่าม อาจทำให้ถูกมองว่าเป็นการเข้าไปแทรกแซง ส่งผลต่อความชอบธรรม โดยเฉพาะหากเป็นคดีของบรรดานักการเมือง

เมื่อเข้าไปประเจิดประเจ้อในองค์กรอิสระมากไม่ได้ การเลือกหยิบสอยเฉพาะเหล่าข้าราชการที่ถูกร้องเรียนเรื่องความไม่ชอบมาพากลอยู่ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา การเขี่ยออกจากจุดที่มีปัญหา จึงเป็นการเทกแอกชันที่สมควรแก่เหตุ ไม่มีข้อครหา

นอกจากนี้ การที่ “ซือแป๋กฎหมาย”วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ออกมาเปรยว่า กำลังจะมีล็อต 2 ล็อต 3 ตามมา ยิ่งทำให้ข้าราชการ“น้ำเสีย”เหล่านี้ขนลุกขนพอง
           
     นอกจากเป็นการกำราบเหล่าข้าราชการกังฉิน ผลพลอยได้จากการล้างบางหนนี้ ยังช่วยแก้ไขปัญหา“เกียร์ว่าง”ทำให้ข้าราชการที่ใกล้ชิดนักการเมืองกลุ่มที่เพิ่งสูญเสียอำนาจ เต้นเป็นเจ้าเข้า ไม่สามารถทำตัว “รอเวลา”ให้ คสช.ลาโรงได้อีกต่อไป ซึ่งต้องยอมรับว่า คนกลุ่มนี้มีจำนวนไม่น้อย เหมือนกับที่“บิ๊กตู่”เคยบ่นเอาไว้

แน่นอน หากจะให้ผลงานด้านการปราบปรามการทุจริตของรัฐบาลงอกงาม “บิ๊กตู่”ย่อมจำเป็นต้องเลือกดีดพวกข้าราชการระดับสูง เพื่อให้เป็นเยี่ยงยาง และได้ผลในยุทธศาสตร์“สงครามข่าว”

ซึ่งเป็นความบังเอิญพอดีกับ“ข่าวเซอร์ไพร์ส”เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โพล่งออกมาอายัดทรัพย์สิน “ริดเปลี่ยนสี” ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ปัจจุบันถูกขังอยู่ในกรุ ในตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยา จำนวนกว่า 40 ล้านบาท หลังพบว่า มีการยักย้าย ถ่ายเท ทรัพย์สินอย่างผิดปกติในช่วงปลายปีที่แล้ว ผนวกกับมีผู้ร้องเรียนเข้ามากล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติจำนวนมาก

การมีคำสั่งอายัดของป.ป.ช. แม้ตัว “ริดเปลี่ยนสี”จะตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการดิสเครดิตในช่วงที่ “บิ๊กตู่”กำลังล้างบางข้าราชการขี้ฉ้อ แต่ที่ผ่านมาทุกครั้ง เวลาป.ป.ช.จะอายัดทรัพย์ใคร มักมีความมั่นใจมาแล้วระดับหนึ่ง จึงลงมือทำ ดังจะเห็นได้จากข้าราชการรุ่นพี่ อย่าง “ปลัดพันล้าน” สุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และ “บิ๊กเปี๊ยก”พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่โดนสั่งฟ้องต่อศาลกันระนาว 
           
      ชีวิตของ “ริดเปลี่ยนสี”ช่วงนี้เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะหากภายในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ซึ่งครบกำหนด 60 วัน ที่ต้องชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา หากไม่สามารถแสดงหลักฐานกับป.ป.ช.ได้ว่า ทรัพย์สินของตัวเอง ไม่ได้มาจากการร่ำรวยผิด ก็ส่อเค้าว่าจะโดนชี้มูลฐานร่ำรวยผิดปกติค่อนข้างแน่

สำหรับการชี้มูลความผิดในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ ถือเป็นโทษที่รุนแรงอย่างยิ่ง สำหรับนักการเมือง และข้าราชการ เพราะป.ป.ช. จะต้องนำเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) ส่งฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินสถานเดียว ขณะเดียวกันยังต้องไปต่อสู้ในคดีอาญาอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีโทษทางวินัย และปกครอง ประธานคณะกรรมการป.ป.ช. จะต้องส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ“บิ๊กตู่” สั่งลงโทษไล่ออก หรือปลดออก โดยให้ถือว่า กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ 
 
ทั้งโดนยึดเงิน และหมดอนาคตในชีวิตราชการ !!

ซึ่งอย่างหลังไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตัว “ริดเปลี่ยนสี”สักเท่าไหร่ เพราะเส้นทางดับวูบไปนานแล้ว ต่อให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจากคสช. แล้วก็ตาม เพราะคุณสมบัติขาดวิ่น ตามรัฐธรรมนูญใหม่ ที่สำคัญไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมด้วย เพราะกลัวถูกตลบหลัง

อย่างไรก็ตาม น่าจับตาอย่างมาก สำหรับการจับ“ริดเปลี่ยนสี”ขึงพืดหนนี้ ทางหนึ่งอาจเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู โดยเฉพาะข้าราชการที่ชอบสนองนักการเมืองแบบน่าเกลียด และกับพวกที่ประจบสอพลอเพื่อให้ตัวเองได้ดี ใครอยู่ในข่ายนี้ ได้ร้อนๆ หนาวๆ

อีกทางหนึ่งเพื่อเป็นการสั่งสอน “ริดเปลี่ยนสี”โดยตรง หลังก่อนหน้านี้สร้าง“โจทก์”เอาไว้เพียบ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรียกว่า สนองการเมืองเต็มสูบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีเสื้อแดง ที่พลิกสำนวนไป มา จากหน้ามือเป็นหลังเท้าเมื่อขั้วอำนาจเปลี่ยน การสั่งอายัดทรัพย์สินแกนนำ กปปส. แบบหว่านแหในช่วงการชุมนุมชัตดาวน์กรุงเทพฯ เป็นประเภทใครกดรีโมตมา “ริดจัดให้”

“ริดเปลี่ยนสี”กลายเป็นสัญลักษณ์ข้าราชการประจำ ที่ทำงานสนองฝ่ายการเมืองในสายตาประชาชน หรือแม้แต่นักการเมืองที่ใช้ พิสูจน์ได้จากการถูก ป.ป.ช. อายัดทรัพย์สินหนนี้ ไม่มีนักการเมืองค่ายเพื่อไทย ที่เคยใช้บริการแม้แต่คนเดียวออกมาปกป้อง ว่าอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ ถูกกลั่นแกล้ง โดยเฉพาะ“เหลิม บางบอน”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ก็เงียบเป็นเป่าสาก

ในทางกลับกัน ยังน่าสนใจว่า คำสั่งอายัดทรัพย์สินของป.ป.ช.หนนี้ สุดท้ายจะเป็นเพียงการสั่งสอน“ริดเปลี่ยนสี”ธรรมดาๆ และเพื่อเชือดไก่ให้ข้าราชการคนอื่นดูเพียงอย่างเดียว หรือไม่ เพราะเงินจำนวน 40 ล้านบาท ถือว่า ยังน้อยนิด ขนหน้าแข้งไม่ร่วง กับที่เหล่านักการเมืองและข้าราชการกังฉินเอาไปเล่นแปรธาตุ ซุกซ่อนไว้ที่อื่นอีกเพียบ เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า การยื่นบัญชีทรัพย์สินกับป.ป.ช. ของคนพวกนี้ มักเป็นตัวเลขแค่เศษเสี้ยวเดียวที่ตัวเองมีอยู่จริง เพียงแต่ป.ป.ช.ขุดคุ้ยไปไม่ถึง

หรือการอายัดครั้งนี้ เป็นการ “เชือดจริง”ไม่ใช่แค่ “สั่งสอน”ซึ่งต้องจับตาดูว่า จะมีการขอให้อายัดเพิ่มเติมอีกหรือไม่ แล้วต้องจับตาดูด้วยว่า จะมีรายการ“กระทืบซ้ำ”ขุดพฤติกรรมของ “ริดเปลี่ยนสี”ในอดีต เอามาฟ้องร้องกันใหม่ เพื่อเป็นการตอกย้ำซ้ำเติม หลัง“เดอะแจ๊ค” วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยื่นเอาผิดกรณีเป่าคดี พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยแก้วคำ ผกก.สภ.พัทยา หลังไม่ยอมสั่งฟ้อง 

จังหวะนี้อาจถูก “กฐินสามัคคี”รุมสกรัม จับเช็กบิลเรื่องคดีความ และหากมีคิว“รับลูก”หรือ“ตามน้ำ”น่าจะเป็นการ “เชือดจริง ซึ่งก็เป็นไปได้ เพราะว่ากันว่า โดยส่วนตัวคนในรัฐบาลอย่าง “พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์” ก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้า จากพฤติกรรมที่รับไม่ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น