“สรรเสริญ” วอน “ยูเอ็น” อย่ากังวล คสช.- รัฐบาล ประกาศใช้ มาตรา 44 ไม่มีอะไรแรงกว่าการปฏิวัติแล้ว ย้อนถาม “ยูเอ็น” นับแต่ปฏิวัติมีการลุอำนาจหรือไม่ ขอให้เชื่อมั่นในตัวนายกฯ ขอสื่ออย่ากังวลเรื่องนำเสนอข่าว เผย วันนี้มีสื่อ 100 - 200 ค่าย มีทั้งลงทะเบียนและไม่ลงทะเบียน เป็นสื่อที่มีคุณภาพและที่แฝงตัว ระบุข้อ 5 ในมาตรา 44 จึงต้องไปบริหารจัดการให้
วันนี้ (2 เม.ย.) ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กังวลเกี่ยวกับการออกประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ว่า อย่ากังวลไปเพราะคนในประเทศยังไม่กังวลเนื่องจากไม่มีอะไรที่แรงไปกว่าการปฏิวัติแล้ว ซึ่งการปฏิวัติแรงสุดแล้ว และที่ผ่านมาก็พยายามลดระดับลงเรื่อยๆ ถ้าจะรู้สึกไม่ไว้วางใจต้องรู้สึกตั้งแต่มีการปฏิวัติแล้ว มาตรา 44 ไม่ได้เพิ่งมีแค่วันนี้ แต่มีตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวถามว่านับจากวันนั้นจนถึงขณะนี้มีปรากฏการณ์อะไรบ้างที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ใช้อำนาจในลักษณะที่ลุแก่อำนาจไม่มี จะมีก็เมื่อครั้งที่นำมาตรา 44 มาใช้ในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหมดวาระต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในขณะที่ยังมีความรู้สึกไม่พร้อมที่จะมีการเลือกตั้งเพราะจะมีเรื่องของการหาเสียงและเป็นประเด็นทางการเมืองหรืออาจทำให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องอื่นอีกจึงต้องชะลอเอาไว้ก่อน
“การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ขณะนี้เป็นครั้งที่ 2 ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างพิจารณาว่าเรื่องที่มีอยู่สามารถใช้มาตรการตามปกติได้หรือไม่ถ้าได้ก็ปล่อย แต่หากแก้ไม่ได้หรือแก้ไขไม่ทันหรือสุ่มเสี่ยงส่งผลกระทบกับเรื่องธุรกิจในอนาคตก็พร้อมที่จะใช้อำนาจดังกล่าวที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าสิ่งที่กังวลยังไม่เคยเกิดขึ้นอย่าตีตนไปก่อนไข้ หากถามว่ามั่นใจว่าจะใช้อำนาจอย่างสร้างสรรค์จริงหรือไม่ให้ย้อนกลับไปดูที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ประกาศรัฐธรรมนูญชั่วคราวมีอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นไปตามที่กังวลหรือไม่ไม่มี มาตรา 44 มีมานานแล้วเพียงแต่ว่าจะหยิบอำนาจดังกล่าวมาประกาศคำสั่งย่อยตรงไหน” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
ส่วนในอนาคตจะมีสิ่งใดการันตีว่านายกฯ จะไม่ใช่อำนาจเกินกว่าที่เคยระบุไว้ พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นและเชื่อถือในตัวบุคคลเป็นสำคัญ ถามว่าเชื่อมั่นใน พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่เพราะตั้งแต่ควบคุมอำนาจมาหากไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ ถามว่า ใครกล้าทำ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่ ผบ.ทบ. ใครก็ได้จะกล้าทำ เพราะถ้าทำไม่สำเร็จก็เป็นกบฏ ยืนยันไม่มีการสืบทอดอำนาจเพราะแค่นี้นายกฯ ก็เครียดมากพอแล้ว ขอให้สังคมเข้าใจว่าไม่มีใครอยากอยู่ต่อนานๆ ทั้งที่เสร็จภารกิจแล้ว
สำหรับกรณีที่มีข้อกังวลในประกาศคำสั่งให้มีการห้ามเสนอข่าวหรือห้ามจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์หรือการปิดสื่อว่า เรื่องนี้ไม่น่ากังวลอะไรขอให้เข้าใจว่า วันนี้มีสื่อ 100 - 200 ค่าย มีทั้งลงทะเบียนและไม่ลงทะเบียน ซึ่งเป็นสื่อที่มีคุณภาพและที่แฝงตัว ต้องการถามเพื่อให้ได้ยินคำถามแต่ไม่ต้องการคำตอบ ขณะเดียวกัน สื่อก็บริหารจัดการกันเองไม่ได้เมื่อทำไม่ได้ จึงต้องมีตรงนี้เพื่อไปบริหารจัดการให้ แต่คิดว่าคงไม่ถึงขั้นต้องปิด
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายซาอิด ราด อัล-ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แสดงความหวาดวิตกที่รัฐบาลทหารไทยประกาศใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ซึ่งให้อำนาจอย่างอิสระต่อหัวหน้ารัฐบาลทหาร มาตราดังกล่าวให้อำนาจอย่างกว้างขวางในการบังคับใช้กฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ทหารต่อพลเรือน และมีแนวโน้มที่จะล้มล้างสิทธิมนุษยชนที่ประกันไว้ในกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ
หลังจาก รัฐบาลทหารที่นำโดย นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับอนุญาตในการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก และแทนที่โดยอำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)
ข้าหลวงใหญ่ฯ กล่าวว่า “โดยปกติแล้วผมจะแสดงความยินดีอย่างยิ่งเมื่อมีการยกเลิกใช้กฎอัยการศึก และที่ผ่านมาได้ผลักดันอย่างเข้มแข็งให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกในประเทศไทย”
“แต่ผมรู้สึกตื่นตระหนกกับการตัดสินใจที่จะแทนที่กฎอัยการศึกด้วยอำนาจที่มีความรุนแรงยิ่งกว่า ซึ่งให้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขตกับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบใดๆ จากฝ่ายตุลาการ นี่เป็นการเปิดประตูไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในระดับที่ร้ายแรง ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลรับประกันว่าอำนาจพิเศษนี้แม้ว่าจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวก็ตามจะไม่นำไปใช้อย่างไม่มีความยับยั้ง”
ภายใต้คำสั่งที่ออกโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงการดำเนินการตามมาตรา 44 เจ้าหน้าที่ทหารที่มียศตั้งแต่ชั้นร้อยตรีขึ้นไปถูกกำหนดให้เป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายอย่างกว้างขวาง รวมถึง การตรวจค้น จับกุม ควบคุมตัว โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบจากฝ่ายตุลาการ นอกเหนือจากนั้น เจ้าพนักงานดังกล่าวยังมีอำนาจ “กระทำการอื่นใด” ตามที่ คสช. มอบหมาย
มาตรา 44 ให้อำนาจแก่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในการออกคำสั่งซึ่งมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ โดยคำสั่งดังกล่าวและการกระทำการใดๆ ตามคำสั่งนี้ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และเป็นที่สุด การละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎหมายภายในประเทศก็จะถูกถือว่าเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่มีช่องทางที่จะตรวจสอบได้เลย เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยได้รับการคุ้มครองที่จะไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย จากการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ตามคำสั่งดังกล่าว
“คำสั่งของ คสช. ที่ประกาศเมื่อวันพุธยังจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก คำสั่งดังกล่าวให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยในการออกคําสั่งห้ามการเสนอข่าว การจําหน่าย หรือทําให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทําให้เกิดความเข้าใจผิดจนกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน เสรีภาพในการชุมนุมยังถูกจำกัดอย่างเข้มงวดต่อไป โดยมีการกำหนดบทลงโทษหนักต่อผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป” นายซาอิด กล่าวเพิ่มเติมว่า
นายซาอิด กล่าวว่า “ผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวหมายถึงการขจัดการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาลในทุกรูปแบบ และทำให้การประกาศยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย”
“ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและนำประเทศกลับสู่การปกครองของพลเรือนตามหลักนิติธรรมโดยเร็ว ตามที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นไว้หลังการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา”
วันเดียวกัน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผยแพร่เอกสารทำความเข้าใจผลของการยกเลิกกฎอัยการศึก คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 ซึ่งนำมาบังคับใช้แทน ตั้งคำถามดีกว่าจริงหรือไม่ มีรายละเอียด ดังนี้
1. พื้นที่ซึ่งประกาศกฎอัยการศึกก่อนวันที่ 20 พ.ค. 57 เช่น พื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ พื้นที่จังหวัดชายแดนในภาคอื่นๆ ยังคงประกาศกฎอัยการศึกต่อไปไม่ได้ยกเลิก
2. พลเรือนยังคงต้องขึ้นศาลทหารต่อไปในคดีตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 37/57, 38/57 และ 50/57
3. ศาลทหารในยามปกติสามารถอุทธรณ์ฎีกาได้ แต่ต้องเป็นคดีที่เกิดนับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 58 เป็นต้นไป คดีซึ่งเกิดระหว่างวันที่ 25 พ.ค. 57 - 31 มี.ค. 58 ยังคงไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามมาตรา 61 พระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498
4. เดิมมาตรา 15 ทวิ กฎอัยการศึกให้อำนาจควบคุมตัวบุคคลไม่เกินเจ็ดวัน หากมีคดีหลังจากนั้นต้องส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่สอบสวน แต่คำสั่งฉบับนี้ให้อำนาจ “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย” ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารยศนายร้อยขึ้นไปทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ความผิดต่อความมั่นคง ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน ความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ไม่เคยมีกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงฉบับใดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเป็นพนักงานสอบสวนมาก่อน)
5. กล่าวคือ ในคดีความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ความผิดต่อความมั่นคง ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน ความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจจับกุม ควบคุมตัว เข้าร่วมเป็นพนักงานสอบสวน (ตามคำสั่งฉบับนี้) ส่งฟ้องโดยอัยการทหาร และตัดสินโดยศาลทหาร (ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/57, 38/57, 50/57)
6. เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจควบคุมตัวบุคคลได้ไม่เกินเจ็ดวัน ในสถานที่ซึ่งไม่ใช่สถานที่คุมขัง และปฏิบัติเหมือนเป็นผู้ต้องหาไม่ได้ เช่นเดียวกับกฎอัยการศึกซึ่งเจ้าหน้าที่ตีความว่าผู้ถูกกักตัวไม่ใช่ผู้ต้องหา จึงไม่มีสิทธิเช่นเดียวกับผู้ต้องหาคือ ไม่มีสิทธิพบญาติ ไม่มีสิทธิพบทนายความในช่วงเวลาดังกล่าว
7. กรณีถูกควบคุมตัวไม่เกินเจ็ดวันเนื่องจากเหตุความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจกำหนดเงื่อนไข (1) ห้ามเข้าเขตที่กำหนด (2) เรียกประกันทัณฑ์บน (3) คุมตัวไว้ในสถานพยานบาล (4) ห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง (5) ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาต (6) ระงับธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่มากไปกว่าเงื่อนไขท้ายประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 40/2557
8. เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจเรียกบุคคลมารายงานตัว จับกุม ควบคุมตัว ค้น ยึด อายัด กระทำการใดๆตามคำสั่ง คสช. และเป็นพนักงานสอบสวนตามความผิด 4 ประเภทข้างต้น
9. เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจออกคำสั่งห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้ แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดจนกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือความสงบ เรียบร้อยของประชาชน
10. กำหนดให้การชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเป็นความผิด และหากผู้กระทำความผิดดังกล่าวสมัครใจเข้ารับการอบรมจากเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยเจ็ดวันและเจ้าพนักงานเห็นสมควรปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไขและให้คดีอาญาเลิกกัน (แนวความคิดเช่นเดียวกับมาตรา 21 พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในขณะที่ พ.ร.บ. ดังกล่าวมีองค์กรตุลาการเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วยแต่คำสั่งฉบับนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น)
11. การกระทำตามคำสั่งฉบับนี้ไม่อยู่ในบังคับกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้
12. มาตรา 44 รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ให้อำนาจเฉพาะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับนี้ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ทหารและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวคือเป็นการขยายเขตแดนในการใช้อำนาจให้มากยิ่งขึ้น
13. เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยและผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ที่กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็นไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย
14. แม้ข้อ 14 ตามคำสั่งฉบับนี้จะไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหาย จากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ แต่มาตรา 44 รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่ง หรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด
15. กล่าวโดยสรุป คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 ยังคงไว้ซึ่งอำนาจตามกฎอัยการศึก แต่เพิ่มเติมเรื่องการอบรมตามแนวทางพระราชบัญญัติความมั่นคง การยกเว้นความรับผิดของเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงเพิ่มอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยมีบทบัญญัติรับรองความชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญตามมาตรา 44