xs
xsm
sm
md
lg

ผบ.ทบ.ขอสื่อแจง ม.44 ตปท.ส่งผลดี สั่ง กกล.รส.ศึกษา ยันทำตามกรอบรัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก(แฟ้มภาพ)
“อุดมเดช” ยัน ม.44 เกิดผลดีส่วนรวม กันคนคิดไม่ดีป่วนกระทบคนส่วนใหญ่ ลั่นไม่แรงกว่าอัยการศึก ดำเนินการไม่เป็นธรรมฟ้องได้ วอนสื่อแจงต่างชาติ เพื่อ ศก.-ท่องเที่ยวดีขึ้น หวัง ตปท.เข้าใจ ชี้ดูแลสิทธิฯ ดีขึ้น สั่ง กกล.รส.ศึกษา ม. 44 ยันทำตามกรอบรัฐ ย้ำศาลทหารมี 3 ศาล พิจารณา 4 ฐานความผิด ขอสื่อสบายระงับแพร่ข้อมูลกระทบความมั่นคงเท่านั้น

วันนี้ (2 เม.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 ตามความในมตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 บังคับใช้แทนกฎอัยการศึกว่า ในส่วนของฝ่ายความมั่นคงก็จะปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นเพื่อต้องการที่จะดูแลประเทศไทยให้มีความสงบเรียบร้อย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายพิเศษขึ้นมา เนื่องจากมีหลายส่วนให้แง่คิดเกี่ยวกับเรื่องกฎอัยการศึก ซึ่งทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.ก็พยายามที่จะทำให้ทุกอย่างมีความรอบคอบและเหมาะสม จึงได้ออกมาคำสั่งตรงนี้มา โดยที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก

“ผมขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดผลดีต่อส่วนรวม ในส่วนของสุจริตชนหรือผู้ที่ประพฤติดีจะไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะเป็นกฎหมายที่คุ้มครองคนเหล่านี้ให้มีความปลอดภัย ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวก็เพื่อป้องกันคนที่คิดไม่ดี เพราะยังมีปัญหาสำหรับคนที่เห็นต่างที่มองในแง่ที่ไม่ดีตรงนี้ก็ไม่เกิดผลกระทบมากนัก แต่ถ้าไปกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เกิดอันตรายกับคนส่วนใหญ่จนเกิดความไม่สงบเรียบร้อย จึงต้องบังคับใช้กฎหมายพิเศษตัวนี้ ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่เจ้าหน้าที่มีความจำเป็น” พล.อ.อุดมเดชกล่าว

พล.อ.อุดมเดชกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ หากดูในรายละเอียดของคำสั่งตามมาตรา 44 จะเข้าใจว่าไม่มีอะไรที่แรงเกินไปกว่าที่ใช้กฎอัยการศึก ซึ่งภายหลังจากที่มีการใช้มาตรา 44 ทำให้หลายสิ่งมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น รวมถึงความชัดเจน เช่น กรอบของการลงโทษที่ระบุโทษกรอบเวลาปรับ จำคุก ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ทั้งนี้หากเจ้าหน้าที่ดำเนินการใดๆ และผู้ที่ถูกดำเนินการเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรมก็สามารถฟ้องร้องหน่วยราชการของรัฐได้ ถือเป็นสิ่งที่ให้โอกาสบุคคลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้เข้าใจว่าไม่มีอะไรรุนแรงมากขึ้น แต่มีเหตุมีผลบางอย่างประกอบขึ้นมา และมีกรอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ขอให้ทุกคนได้รับทราบ และเห็นถึงความจำเป็นต่อการใช้กฎหมายดังกล่าว อีกทั้งสื่อจะมีส่วนช่วยที่จะทำให้มุมมองของต่างชาติมีความเข้าใจ จึงอยากให้สื่อไปดูในเรื่องของรายละเอียดแยกแยะสิ่งต่างๆ ออกมาและช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ต่างประเทศได้เข้าใจ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ปรับให้มาใช้มาตรา 44 แล้ว หากสื่อช่วยกันประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่างๆ ก็จะดีขึ้น ตลอดจนในสิ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องเศรษฐกิจ และต่างประเทศจะดีขึ้นด้วย

เมื่อถามว่าการใช้มาตรา 44 ต่างชาติจะเข้าใจเราหรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า การปรับเปลี่ยนดังกล่าวหวังให้ต่างชาติมีความเข้าใจ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการไปละเมิดสิทธิมนุษยชน และเมื่อคำสั่งตามมาตรา 44 ออกมาก็จะสามารถทำให้ดูแลประชาชนตลอดจนเรื่องสิทธิมนุษยชนดีขึ้น ในส่วนของตนที่ได้รับมอบหมายการปฏิบัติงานตลอดจนถึงเจ้าหน้าที่ทหารจะพยายามดำเนินการตามกรอบที่ได้กำหนดไว้ จะไม่มีการละเมิดและจะให้การทำงานต่างๆ เหล่านี้ตามอำนาจหน้าที่อย่างระมัดระวัง และจะคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้ ทั้งนี้ขอให้ประชาชนสบายใจว่านายกฯได้พยายามที่จะปรับปรุงบางสิ่งบางอย่างให้มีความเหมาะสมขึ้นเรื่อยๆ และพยายามแก้ไขปัญหาทุกทาง นอกจากนี้ตนได้กำชับไปยังกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ในกองทัพภาคต่างๆ ให้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับมาตรา 44 พร้อมทั้งให้ระมัดระวังในการปฏิบัติงาน ขอยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดตามกรอบที่ทางรัฐบาลกำหนด และเป็นไปตามคำสั่งของ คสช.

เมื่อถามถึงความชัดเจนในเรื่องของศาลทหาร พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในคำสั่งในมาตรา 44 เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาสามารถยื่นอุทธรณ์และฎีกาใน 3 ระดับ คือ ศาลทหารชั้นต้น ศาลทหารชั้นกลาง และศาลทหารสูงสุด ซึ่งจะรับคดีความที่เกิดขึ้นใน 4 กรณี คือ การกระทำความผิดในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คดีที่เกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคง คดีอาวุธสงครามร้ายแรง และคดีที่ผิดคำสั่งของคสช. ซึ่งทำให้เกิดเป็นสากลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้ระบุไว้ชัดเจนว่าสิ่งใดก็ตามที่ขัดกับ 4 กรณีดังกล่าวก็จะต้องขึ้นศาลทหาร ส่วนในเรื่องอื่นก็ไม่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้คำสั่งตามมาตรา 44 ยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการระงับยับยั้งในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสื่อที่เห็นว่าจะกระทบต่อความมั่นคง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง ทางเจ้าหน้าที่ก็จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ขอให้สื่อสบายใจและขอให้อยู่กันด้วยความเรียบร้อยคงไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือให้ช่วยกันอธิบายให้เกิดความเข้าใจ เพราะสื่อมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจะดีหรือไม่ดี สื่อจะช่วยได้


กำลังโหลดความคิดเห็น