รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย หวั่นมาตรา 44 รวมอำนาจไว้คนๆ เดียว หนักกว่ากฎอัยการศึก ถ้าจะใช้จริงต้องระบุขอบเขตให้ชัด ด้านแกนนำแดงหยันเหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ ขู่เขียนรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ ม็อบลุกฮือแน่ แนะลดใช้กฎหมายเหลือ พ.ร.บ.ความมั่นคง เลิกเรียกคนมารายงานตัว เร่งจัดเลือกตั้ง
วันนี้ (29 มี.ค.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวทางจะเลิกใช้กฎอัยการศึก และเปลี่ยนมาใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทน ว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าเป็นการริเริ่มที่ดีที่คิดจะเลิกใช้กฎอัยการศึก รัฐบาลคงมองเห็นสภาพปัญหา จึงตัดสินใจเรื่องนี้ เข้าใจว่า หลักสำคัญก็เพื่อต้องการสร้างความมั่นใจให้นานาชาติและให้คนมาท่องเที่ยวพักผ่อน แต่การจะเปลี่ยนไปใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวดูแล้วเนื้อหาไม่ต่างกัน หนำซ้ำจะหนักกว่าเดิมด้วย เพราะอำนาจสิทธิขาดทั้งหมดอยู่ที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ เหมือนมาตรา 17 สมัย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยมาตรา 17 ตอนนั้นยังอยู่เหนือแค่บริหารและนิติบัญญัติ ไม่มีตุลาการ แต่มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้ อยู่เหนืออำนาจทั้งหมด ซึ่งตามหลักการประชาธิปไตยทั่วไปแล้ว ไม่ควรให้อำนาจคนๆ เดียว จำเป็นต้องมีระบบถ่วงดุล ตรวจสอบ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงใย ต่างชาติอาจไม่เข้าใจเหมือนเดิม ตนเชื่อว่าคนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย จะต้องศึกษาทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงรายละเอียดในข้อกฎหมายนี้ว่าเป็นอย่างไร เพราะเขามาลงทุนหลักพัน หลักหมื่นล้าน คงไม่มาโดยไม่ศึกษา ฉะนั้น การเปลี่ยนชื่อกฎหมายจากกฎอัยการศึกมาเป็นมาตรา 44 ก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของการกระทำมากกว่า รัฐบาลต้องแก้ปมปัญหาว่าเขาไม่สบายใจเรื่องอะไร ความมั่นคงหรืออะไรต่างๆ ก็ต้องไปแก้ตรงนั้น อย่างไรก็ตาม คิดว่าตอนนี้สถานการณ์พอไปได้ รัฐบาลจะเลิกกฎอัยการศึกก็ถูกต้องแล้ว แต่รัฐบาลจะบริหารจัดการอย่างไรต่อไปต้องคิดเอง ส่วนตัวเชื่อว่าการเร่งให้มีการเลือกตั้ง มีประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย กลับสู่ภาวะเป็นปกติ
เมื่อถามว่า รัฐบาลตั้งเป้าชัดเจนว่าจะใช้มาตรา 44 ควรจะมีการระบุขอบเขตการใช้อำนาจให้ชัดเจนหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า แน่นอนต้องพูดให้ชัด ว่าขอบเขตการใช้อำนาจเป็นอย่างไร มีเหตุการณ์อะไร หรือสถานการณ์อย่างไรถึงจะนำมาตรานี้มาใช้ เพราะขณะนี้รัฐบาลก็มีกลไกแทบทุกอย่างอยู่แล้ว ขอย้ำว่าการใช้มาตรา 44 ต้องระมัดระวัง เพราะอำนาจทั้งหมดเป็นดุลพินิจของคนๆ เดียว
ด้าน นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. กล่าวว่า การเปลี่ยนจากกฎอัยการศึกมาเป็นมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ก็ยังมีอำนาจเต็มที่ เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ ความจริงลดระดับลงมาใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง อย่างเดียวก็พอ หากรัฐบาลต้องการสร้างความเชื่อมั่น สร้างศรัทธาให้ทุกฝ่าย สิ่งที่ต้องทำคือจัดการเลือกตั้งตามโรดแมป สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า แต่วันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กลับออกมาระบุว่าจะเลือกตั้งกลางปีหน้า เลื่อนออกไปอีก 6 เดือน ถ้าเลื่อนไปเรื่อยทีละขยัก ความเชื่อมั่นของประชาชนก็จะหดหายไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน ขณะที่การเขียนรัฐธรรมนูญนั้น ตนเกรงว่า พล.อ.ประยุทธ์จะถูกวางยาจากคนกันเอง คนที่เขียนรัฐธรรมนูญเป็นคนของใครก็รู้กันอยู่ เขียนออกมากันแบบนี้ก็สืบทอดอำนาจชัดเจน ประชาชนคงยอมรับได้ยาก และอาจเกิดเป็นวิกฤติซ้ำอีกรอบ ตนไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากันอีกแล้ว
นายวรชัย กล่าวว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหยุดใช้มาตรการทางทหาร ลดระดับการคุมเข้ม ไม่ใช่ว่าใครพูดไม่ถูกใจก็เรียกไปพบ ใครคิดเห็นต่างทางการเมืองก็จับหมด เวลาไปไหนมาไหน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทราบดีว่าเขาต่อต้านเรื่องนี้ขนาดไหน เขารังเกียจเผด็จการอย่างไร วันนี้คนกันเองที่เคยร่วมสู้กันมาก็กลับมาถล่ม พล.อ.ประยุทธ์ เสียแล้ว ข้าราชการก็ใส่เกียร์ว่างหมด วิกฤตการเมืองก็ลามไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนเกิดวิกฤตศรัทธามากๆ พล.อ.ประยุทธ์จะรับมือไม่อยู่อย่างแน่นอน ฉะนั้น จึงย้ำว่าต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งให้ชัด ไม่ใช่เลื่อนไปเรื่อยๆ และรัฐธรรมนูญต้องปรับกันใหม่ไม่เอารูปแบบนี้ โดยช่วงระยะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ถ้าแก้ได้ท่านจะเป็นวีรบุรุษ คราวหน้าท่านลงเลือกตั้งได้เลย ประชาชนจะเลือกท่านด้วย