ป้อมพระสุเมรุ
ต้องยอมรับว่าด้วยอำนาจที่ล้นมือ ทำให้วันนี้ขุมกำลังเครือข่าย “รัฐบาลขุนทหาร” ยิ่งนานวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ทั้งในทางการเมืองที่มีบรรดานักการเมืองน้อยใหญ่ยอมสยบเดินตามโรดแมปต๋อยๆ แถมคอนเนคชั่นกับ “นายทุน” ก็ยิ่งเน้นเฟ้นมากขึ้น เจ้าสัวใหญ่-เศรษฐีระดับโลกยังต้องมาเดินเป็นตัวประกอบฉากให้ “บิ๊กตู่ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐฒนตรี และหัวหน้า คสช.ให้เห็นบ่อยครั้ง
ดูตามเนื้อผ้ารอบทิศทาง เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้ “ทีมงาน คสช.” บริหารประเทศได้อย่างราบรื่น ทั้งในตอนนี้หรือภายหลังจากสิ้นยุค คสช.ไปแล้วก็ตาม
สวนทางกับเครือข่ายขุมกำลังของ “ระบอบทักษิณ-ขั้วสีแดง” ที่นับวันมีแต่สูญเสียกำลังหลัก ระดับหัวแถวก็โดนล๊อคไว้โดยคดีความต่างๆ ส่วนลิ่วล้อที่เคยเฮไหนเฮนั้นก็เลือกกบดานจำศีลรอคลื่นลมสงบไปก็เยอะ และที่ปันใจให้อยู่กับ “สีเขียว” อีกก็มาก ระดับปฏิบัติการกองกำลังบนดิน-ใต้ดินก็ถูกไล่ล่าหมายหัวจนขยับตัวแทบไม่ได้
นาทีต้องถือว่า “เครือข่ายแม้ว” อยู่ในภาวะร่อแร่พอสมควร
เรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” แทบไม่ต้องพูดถึง นาทีนี้หาคนควักไม่ได้แม้แต่คนเดียว ขนาด “ทีมงานทนายเสื้อแดง” ที่ออกข่าวเป็นรายวัน ยังหลังไมค์บ่นกระปอดประแปดว่า ขาดคนดูแลมานานพักใหญ่แล้ว ยิ่งในพื้นที่ฐานเสียง “เรดโซน” ที่มีเสียงบ่นว่า “ท่อน้ำเลี้ยง” ส่งไปไม่ถึงแล้ว ยิ่งลำบากกันไปกันใหญ่ เหมือนช่องทางทุกอย่างโดนปิดตาย จนไม่มีทางเคลื่อนไหวได้ จะทำได้ก็แต่เพียงปลุกระดมในพื้นที่ อาศัยเครือข่าย “วิทยุชุมชน” ที่กลับมาเปิดกันอย่างโจ่งครึ่มอีกครั้ง
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ “นช.แม้ว - ทักษิณ ชินวัตร” แม้จะเหมือนสุขสำราญอยู่ต่างแดน มีบรรดาลูก-หลาน ไปเยี่ยม-เที่ยว-ชิม-ช้อปอย่างไม่ขาดสาย แต่ลึกๆในใจก็เชื่อว่ามีความทุกข์ ทั้งอารมณ์หงุดหงิดที่ยังกลับมาสู่มาตุภูมิไม่ได้เสียที และอารมณ์เป็นห่วง “น้องปู - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ตอนนี้เท้าแหย่เข้าคุกไปข้างหนึ่งแล้ว
จาก “น้องปู” ที่เคยคิดจะปลุกปั้นให้เป็น “นารีขี่ม้าขาว” ทำไปทำมาดัน “ตกม้า” จนอาการสาหัสเสียด้วย
ชะตากรรมของ “คุณหนูปู” ตกที่นั่งลำบาก หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับตรารับคำร้อง “โครงการรับจำนำข้าว” พร้อมนำหมายศาลติดหน้าบ้าน ราวกับประจานพฤติกรรมให้โลกได้รับรู้ และเป็นไฟต์บังคับที่ “คุณหนูปู” ต้องไปปรากฏตัวหน้าศาลในวันที่ 19 พฤษภาคม เพื่อไต่สวนนัดแรก
นับแต่ตอนนี้ทุกฝีก้าวของ “คุณหนูปู” ย่อมอยู่ในสายตา คสช.ตลอดทุกวินาที เรียกว่าจะหาทางมุดรูหนีตามรอย “พี่ชาย” แทบจะปิดลงทันที
แต่ก็เชื่อว่าทั้ง “พี่แม้ว” หรือ “ทีมทนาย-ลิ่วล้อ” คงกำลังขบคิดหาช่องทางให้ “ยิ่งลักษณ์” เดินทางไปต่างประเทศ แต่จะเป็นการเดินทางไปและกลับ เพื่อสร้างบรรทัดฐานไว้ในระหว่างสู้คดี และสร้างภาพไว้ว่า เดินทางไปได้ และก็กลับมาตามนัด
ส่วนที่จะไปแล้วไปลับ คงอีกพักใหญ่ เพราะเรื่องคดีความยังว่ากันอีกยาว
แม้ “บิ๊กตู่” จะพูดชัดถ้อยชัดคำไว้ว่า เรื่องการอนุญาตให้ “ยิ่งลักษณ์” เดินทางไปต่างประเทศได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล แต่ในความเป็นจริงแล้วอำนาจชี้ขาดก็คงอยู่ที่ “รัฐบาล คสช.” มากกว่า จริงอยู่ศาลพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทุกฝ่ายต้องเคารพ แต่หากดุลพินิจของศาล ส่งผลใหเกิดความวุ่นวายขึ้น ก็เป็นช่องที่ คสช.จะใช้อำนาจที่มีอยู่ทบทวนดุลพินิจของศาลได้
เป็นอำนาจ “องค์รัฏฐาธิปัตย์” ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว
เพราะหากวันดีคืนนี้ “คุณหนูปู” เกิดอยากไปซดโจ๊กที่ฮ่องกงอีก แล้วศาลอนุญาตให้ไปได้ เชื่อแน่ว่าจะเป็นประเด็นให้มวลชนอีกฝ่ายลุกฮือขึ้นมา เพราะเคยมีบทเรียนจากกรณี “พี่แม้ว” ที่วันนั้นอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย เดินทางออกไปร่วมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคที่ประเทศจีน ก่อนการตัดสินคดีที่ดินรัชดาไม่นาน จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยได้กลับมาเหยียบแผ่นดินไทยอีกเลย
ถึงวันนั้นขึ้นมาจริง “บิ๊กตู่” และ คสช.คงลำบากใจไม่น้อย หากปล่อยให้ไป ก็เสี่ยงที่จะหนีไปเหมือน “พี่ชาย” คสช.ก็ถูกมองว่า รู้เห็นเป็นใจเปิดทางให้หนี อีกทั้งเครือข่ายมวลชนขั้วตรงข้าม “ระบอบทักษิณ” ก็คงออกมาถล่มยับ แต่หากยืนกรานไม่ให้ “คุณหนูปู” ได้ย่างกรายออกนอกประเทศก็ต้องถูกตราหน้าว่า “เผด็จการ” ก้าวก่ายแม้กระทั่งอำนาจของศาลสถิตย์ยุติธรรม
ซึ่งตามแผนที่ “ฝ่ายทักษิณ” วางไว้ หลัง 19 พฤษภาคมจะมีการหยั่งเชิงตามที่ว่า ถึงวันนั้นต้องจับตาว่า คสช.จะเลือกเดินหมากอย่างไรเพื่อบริหารอารมณ์สังคม
ในขณะที่กระดานหมากเล็กยังรอวันที่ 19 พฤษภาคม เพื่อนับหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม อีกด้านก็เริ่มมีการปัดฝุ่นหยิบกระดานหมากใหญ่ขึ้นมาเล่น ตามข่าวที่ว่า เริ่มมีความเคลื่อนไหวของ “นายหญิงใหญ่” ฝั่งเสื้อแดง รื้อสมุดโทรศัพท์ต่อสายไปยังคอนเนคชั่นเก่าๆ เพื่อต่อรองหา “รูหายใจ” ให้กับ “ระบอบทักษิณ”
ว่ากันว่างานนี้พวก “ปลายแถว” ต้องหลบฉาก หลังจากที่ผ่านมาพยายามออกหน้า “ดีล” กับ “ขุนทหาร” แล้ว แต่ต่อไม่ติด ไม่มีสัญญาณตอบรับมาจากปลายสาย
เวลานี้จึงถึงคิว “นายหญิงใหญ่” เบอร์หนึ่งแห่ง “ตระกูลชินวัตร” แม้จะเปลี่ยนนามสกุลแต่หัวใจยังเป็น “ชินวัตร” เหมือนเดิม ต้องออกโรง “เปิดดีล” ด้วยตัวเอง โดยปักหมุดเป้าหมายที่ “บ้านใหญ่ย่านเทเวศร์”
ยี่ห้อ “นายหญิงใหญ่” หาก “เปิดดีล” แล้ว แม้ฝ่าย “ขุนทหาร” จะสงวนท่าทีไม่ยอมเปิดประตูบ้านให้แขกผู้มาเยือนได้โผล่หน้าเข้ามา แต่ก็ต้องเงี่ยหูฟังข้อเสนอที่โยนออกมา เพื่อประเมินสถานการณ์ของตัวเองด้วย
อย่าลืมว่า ไม่มีอะไรแน่นอนในทางการเมือง ชั่วโมงนี้ “รัฐบาล คสช.” อาจถือไพ่เหนือกว่าก็จริง แต่หากตัดริบบิ้นคืนอำนาจเปิดหีบเลือกตั้งเมื่อใด พลังต่อรองของ “ค่ายสีแดง” ก็จะกลับมาทันที เพราะ คสช.เองก็ยังไม่มั่นใจในสูตรของ กมธ.ยกร่างฯที่เล่นแร่แปรธาตุรัฐธรรมนูญฉบับถาวรว่าจะเขี่ยลูกเข้าตีนใครกันแน่
ข้อเสนอของ “นายหญิงใหญ่” ต้องถูกเก็บไว้ในชั้น “ลับสุดยอด” ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขย่อมรวมไปถึงผลชี้เป็นชี้ตายของ “คุณหนูปู” ในคดีจำนำข้าวที่ “ศาลฎีกา” นับถอยหลังรอวันเชือด อย่างน้อย “พี่แม้ว” คงไม่ปล่อยให้น้องนุชสุดที่รักต้องไปนอนกินข้าวแดงในเรือนจำเด็ดขาด
ว่ากันในวงลับว่า “น้องปู” กัดฟันขอสู้ในชั้น “ศาลฎีกา” ให้ถึงที่สุด เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ทั้ง “นายใหญ่-นายหญิง” เซย์โนขอไม่เสี่ยงให้เรื่องราวเลยเถิดไปถึงขนาดนั้น เพราะโอกาสแพ้คดีมีสูงมาก และไม่เพียงแต่ “น้องปู” เท่านั้นที่จะได้รับโทษ ยังส่งผลเป็นโดมิโนไปถึงคนในเครือข่ายอีกเพียบ
อีกทั้งหากปล่อยให้ “น้องปู” ค้างเติ่งอยู่ในกระบวนการ ก็เหมือนเป็นตัวประกันที่ทำให้ “ระบอบแม้ว” ขยับหยิบจับอะไรลำบาก จึงมีความพยายามปั้น “บิ๊กดีล” ให้ “ระบอบแม้ว” ได้หายใจ และ “น้องปู” ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์
โดยใช้คำว่า “ปรองดอง” ขึ้นมาบังหน้า
หลังจากที่เมื่อครั้ง คสช.ยึดอำนาจใหม่ๆ “นายหญิงใหญ่” ก็สู้อุตส่าห์เกาะรั้ว “บ้านใหญ่ย่านเทเวศร์” มาแล้วหนหนึ่ง แต่ดีลไม่ลงตัว จึงต้องเบรกการพูดคุย เพื่อมาเสริมเติมแต่งดีลใหม่
ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ “นายหญิงใหญ่” ต้องลุกขึ้นมาออกโรงเอง ก็เพื่อเคลียร์ใจกับ “ผู้มากบารมี” ว่า ไม่ได้มีเอี่ยวกับ “แก๊งบึ้มศาลอาญา” เป็นเพียงฝีมือของ “ลิ่วล้อทำเกิน” ที่ทะเล่อทะล่าทำกันเอง ไม่ได้เป็นบัญชาจาก “นายใหญ่” แต่อย่างใด
การที่ “นายหญิงใหญ่” ต้องออกมาด้วยตัวเอง ในห้วงที่ไม่ถึงปีจะมีการเลือกตั้งตามโรดแมปของ คสช. ก็สะท้อนให้เห็นว่า “ระบอบแม้ว” ไม่มั่นใจในอนาคตของฝ่ายตัวเอง แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในอีกไม่นานก็ตาม
เหมือนรู้ตัวว่า เล่นเกมเสี่ยงไม่ได้ เพราะทั้ง “ขุน” ทั้ง “เบี้ย” โดนกินแทบจะหมดกระดานแล้ว