**ปฏิบัติการสาวไส้เครือข่าย“นักรบแดง”ที่สวมบท“มือปาระเบิด”ใส่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ยิ่งสาวยิ่งลึก ไม่เพียงแต่คนร้ายที่เจ้าหน้าที่ตะครุบทันควันในที่เกิดเหตุ และยังสามารถขยายผลการสอบสวนเชื่อมโยงเครือข่ายได้อีกเป็นหางว่าว ทั้งผู้ร่วมขบวนการ ท่อน้ำเลี้ยง กระทั่งคนบงการ
ถึงกระนั้น“บิ๊กรัฐบาล”ก็เชื่อว่าเครือข่ายไม่ได้สุดแค่กลุ่มเหล่านี้ ยังต้องหาสาวให้ถึงตัวไอ้โม่ง ที่เป็นตัวบงการใหญ่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง “นักรบแดง”ที่ออกป่วนเมืองรอบนี้ ในความเป็นจริงทางการข่าวชี้ชัดว่า ใครคือคนบงการ เพราะได้ซุ่มประกบ แกะรอยมาเป็นเวลาพอสมควร
แต่ในทางปฏิบัติ จำเป็นต้องมีความรัดกุมปลดล็อกจิ๊กซอว์ ไปทีละชิ้น เพื่อให้เห็นภาพทั้ง หัวขบวนและเครือข่ายแบบดิ้นไม่หลุด เนื่องจากคนใน “ขบวนการแดง”ส่วนใหญ่มักรู้จักหน้าค่าตากันดี ว่าใครเป็นใคร ใครอยู่สายไหน ใครอยู่กับนายคนไหน
ปฏิบัติการไล่บี้"ขบวนการแดง" จึงรุดหน้าไปมาก
ทางหนึ่ง “สายฮาร์ดคอร์”พยายามสร้างสถานการณ์ลองเชิงและลดความน่าเชื่อถือของคสช. แต่ในทางกลับกัน ก็มีความเคลื่อนไหวของ “ระดับบน”ที่พยายามเปิดโต๊ะเจรจา ยื่นข้อเสนอทั้ง“ดีลเปิด-ดีลลับ”ด้วยข้ออ้างในการหาทางออกให้กับประเทศในระยะยาว
แต่จริงๆ แล้ว เป็นการหาทางปลดล็อกให้กับ“ตระกูลชินวัตร”มากกว่า
“ดีลเปิด”มีความเคลื่อนไหวจากฟากฝั่ง “สภาปฏิรูปแห่งชาติ”(สปช.) ที่มีการเสนอไอเดีย“ปรองดอง”กับทุกขั้ว-ทุกสี-ทุกกลุ่ม แม้จะมีเงื่อนไขว่า คดีอาญาไม่เกี่ยว ระดับ“แกนนำ”ไม่มีเอี่ยว แต่หากทอดระยะเวลาออกไป การพิจารณาของ สปช. อาจเปลี่ยนแปลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าจะเปิดไฟเขียว หรือไม่
โดย “ดีลเปิด”ให้จับตาไปที่จังหวะก้าวของ“เอนก เหล่าธรรมทัศน์”ประธานกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง ซึ่งจะต้องพิจารณาออกข้อกำหนด เกี่ยวกับแนวทางปรองดองเกือบทั้งหมด เพื่อเสนอให้“รัฐบาล-คสช.”ตัดสินใจ
ดังนั้น “ดีลเปิด”ที่จะถูกชงขึ้นจากคณะกรรมการชุดของ“เอนก”จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะไม่แน่อาจจะออกเป็น“บทเฉพาะกาล” ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้มีผลบังคับใช้ชนิด “ฟ้าสั่งมา”ก็เป็นได้
แต่“ดีล”ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคือ “ดีลลับ” ที่ กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม พยายามเดินเข้าหา “ขั้วอำนาจ” บางกลุ่มพยายามเดินเข้าหา “บิ๊กทหาร”เพื่อต่อรองทางคดี-ต่อรองทางการเมือง
ทว่าการต่อรองที่ผ่านมาเป็นบทเรียนของทั้ง “สองขั้ว”แล้วว่า ไม่มีสัจจะที่จะนำข้อต่อรองบนโต๊ะไปปฏิบัติ หรือยึดเป็นคำมั่นสัญญาที่จะดำเนินการอย่างแท้จริง การเจรจาต่อรองในระยะหลัง จึงต้อง“ล้มโต๊ะ”ตั้งแต่ยังไม่มีการพูดคุยกันด้วยซ้ำ หรือไม่ก็แค่ “เปิดตัว”ให้เห็นหน้า “มวยแทน”ที่จะมาต่อรอง โต๊ะก็ล้มพับแล้ว
แต่ล่าสุดมีข่าวแว่วมาว่า มีความพยายามเปิด “ดีลลับ”ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นระดับ “บิ๊กดีล”ที่งานนี้ไม่มี มวยแทน มาลงเล่น มีแต่ “ตัวจริง-เสียงจริง”ที่พยายามวิ่งต่อสายให้เกิดการเจรจาขึ้นอีกรอบ
งานนี้ “ผู้มากบารมี”ขอคุย-ขอเคลียร์กับ “ผู้มากบารมี”ด้วยกันเอง
**โดยมีข่าวว่า“นายหญิงใหญ่”แห่ง ตระกูลชินวัตร แม้จะเปลี่ยนนามสกุล แต่หัวใจยังเป็น“ชินวัตร”อยู่ทั้งดวง เริ่มออกมาต่อสายขอเคลียร์กับ“ผู้มากบารมี”ของฝั่งรัฐบาลและ“ผู้มากบารมี”แห่ง บ้านสี่เสาเทเวศร์
**แต่แม้มีข่าวว่าฝั่ง“นายหญิงใหญ่”จะยอมเคาะประตูบ้านฝั่ง “ผู้มีอำนาจ”ด้วยตัวเอง แต่เหมือน ประตูยังปิดสนิท ไม่มีเสียตอบรับจากคนในบ้านแต่อย่างใด
เหตุผลหนึ่งเพราะอาจจะอ่านออกว่า“นายหญิงใหญ่”ต้องการอะไร ถึงพยายามเดินสายขอต่อรอง แม้จะไม่ได้ยินข้อเสนอจากปากของ “นายหญิงใหญ่”เอง แต่ก็พออ่านทิศทางของ ตระกูลชินวัตร ออก
โดยเฉพาะคดีของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”น้องสาวสุดเลิฟของ “นช.แม้ว”ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น“โคลนนิ่ง” หากงานนี้โดนตัดสินให้จำคุกจากคดีโครงการรับจำนำข้าว มีหวังเป็นยิ่งกว่า“โคลนนิ่ง”กันอีกแง่ มีคำนำหน้าเป็น“นักโทษหญิง”ไม่ต่างกับพี่ชาย
ข้อต่อรองที่คาดการณ์กันว่า“นายหญิงใหญ่”พยายามชงขึ้นโต๊ะเจรจาคือ คดีของยิ่งลักษณ์ ที่ล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประทับรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว รอแค่วันให้ ยิ่งลักษณ์ เข้าให้ปากคำต่อชั้นศาล
ซึ่งหากดูตามเนื้อผ้าแล้ว ยิ่งลักษณ์รอดยากเหลือเกิน โทษจำคุกอาจจะโดนแน่ๆ แต่โทษปรับ อาจจะมีการประนีประนอมลดให้กันได้
แต่อุปสรรคของ ยิ่งลักษณ์ คือ “ทางหนี”ที่มีน้อยมาก เพราะโดน คสช. ประกบติดทุกทิศทาง เรียกได้ว่า จะขยับตัวหนีเป็นอันรู้ความเคลื่อนไหวทันที หากจะคิดหนีจากเงื้อมมือของ คสช. ทางรอดทางเดียวคือ การเปิดโต๊ะเจรจา และอาจจะเป็นเงื่อนไขที่“ตระกูลชินวัตร”เสียเปรียบอย่างสุดกู่ ชนิดที่ยอมถอยหลังชนฝาแล้ว อาจจะยังต่อรองไม่สำเร็จด้วยซ้ำ
**จากนี้ต้องติดตามว่า “ดีลลับ”ของบรรดา “ผู้มากบารมี”กับความเคลื่อนไหวของ“นายหญิงใหญ่”จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ประตูที่ปิดตายอยู่ขณะนี้จะแง้มเปิดช่องมาให้ “ตระกูลชินวัตร”ได้หายใจบ้างหรือไม่
**ทุกย่างก้าวการเมืองหลังจากนี้ ห้ามกระพริบตา...
ถึงกระนั้น“บิ๊กรัฐบาล”ก็เชื่อว่าเครือข่ายไม่ได้สุดแค่กลุ่มเหล่านี้ ยังต้องหาสาวให้ถึงตัวไอ้โม่ง ที่เป็นตัวบงการใหญ่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง “นักรบแดง”ที่ออกป่วนเมืองรอบนี้ ในความเป็นจริงทางการข่าวชี้ชัดว่า ใครคือคนบงการ เพราะได้ซุ่มประกบ แกะรอยมาเป็นเวลาพอสมควร
แต่ในทางปฏิบัติ จำเป็นต้องมีความรัดกุมปลดล็อกจิ๊กซอว์ ไปทีละชิ้น เพื่อให้เห็นภาพทั้ง หัวขบวนและเครือข่ายแบบดิ้นไม่หลุด เนื่องจากคนใน “ขบวนการแดง”ส่วนใหญ่มักรู้จักหน้าค่าตากันดี ว่าใครเป็นใคร ใครอยู่สายไหน ใครอยู่กับนายคนไหน
ปฏิบัติการไล่บี้"ขบวนการแดง" จึงรุดหน้าไปมาก
ทางหนึ่ง “สายฮาร์ดคอร์”พยายามสร้างสถานการณ์ลองเชิงและลดความน่าเชื่อถือของคสช. แต่ในทางกลับกัน ก็มีความเคลื่อนไหวของ “ระดับบน”ที่พยายามเปิดโต๊ะเจรจา ยื่นข้อเสนอทั้ง“ดีลเปิด-ดีลลับ”ด้วยข้ออ้างในการหาทางออกให้กับประเทศในระยะยาว
แต่จริงๆ แล้ว เป็นการหาทางปลดล็อกให้กับ“ตระกูลชินวัตร”มากกว่า
“ดีลเปิด”มีความเคลื่อนไหวจากฟากฝั่ง “สภาปฏิรูปแห่งชาติ”(สปช.) ที่มีการเสนอไอเดีย“ปรองดอง”กับทุกขั้ว-ทุกสี-ทุกกลุ่ม แม้จะมีเงื่อนไขว่า คดีอาญาไม่เกี่ยว ระดับ“แกนนำ”ไม่มีเอี่ยว แต่หากทอดระยะเวลาออกไป การพิจารณาของ สปช. อาจเปลี่ยนแปลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าจะเปิดไฟเขียว หรือไม่
โดย “ดีลเปิด”ให้จับตาไปที่จังหวะก้าวของ“เอนก เหล่าธรรมทัศน์”ประธานกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง ซึ่งจะต้องพิจารณาออกข้อกำหนด เกี่ยวกับแนวทางปรองดองเกือบทั้งหมด เพื่อเสนอให้“รัฐบาล-คสช.”ตัดสินใจ
ดังนั้น “ดีลเปิด”ที่จะถูกชงขึ้นจากคณะกรรมการชุดของ“เอนก”จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะไม่แน่อาจจะออกเป็น“บทเฉพาะกาล” ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้มีผลบังคับใช้ชนิด “ฟ้าสั่งมา”ก็เป็นได้
แต่“ดีล”ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคือ “ดีลลับ” ที่ กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม พยายามเดินเข้าหา “ขั้วอำนาจ” บางกลุ่มพยายามเดินเข้าหา “บิ๊กทหาร”เพื่อต่อรองทางคดี-ต่อรองทางการเมือง
ทว่าการต่อรองที่ผ่านมาเป็นบทเรียนของทั้ง “สองขั้ว”แล้วว่า ไม่มีสัจจะที่จะนำข้อต่อรองบนโต๊ะไปปฏิบัติ หรือยึดเป็นคำมั่นสัญญาที่จะดำเนินการอย่างแท้จริง การเจรจาต่อรองในระยะหลัง จึงต้อง“ล้มโต๊ะ”ตั้งแต่ยังไม่มีการพูดคุยกันด้วยซ้ำ หรือไม่ก็แค่ “เปิดตัว”ให้เห็นหน้า “มวยแทน”ที่จะมาต่อรอง โต๊ะก็ล้มพับแล้ว
แต่ล่าสุดมีข่าวแว่วมาว่า มีความพยายามเปิด “ดีลลับ”ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นระดับ “บิ๊กดีล”ที่งานนี้ไม่มี มวยแทน มาลงเล่น มีแต่ “ตัวจริง-เสียงจริง”ที่พยายามวิ่งต่อสายให้เกิดการเจรจาขึ้นอีกรอบ
งานนี้ “ผู้มากบารมี”ขอคุย-ขอเคลียร์กับ “ผู้มากบารมี”ด้วยกันเอง
**โดยมีข่าวว่า“นายหญิงใหญ่”แห่ง ตระกูลชินวัตร แม้จะเปลี่ยนนามสกุล แต่หัวใจยังเป็น“ชินวัตร”อยู่ทั้งดวง เริ่มออกมาต่อสายขอเคลียร์กับ“ผู้มากบารมี”ของฝั่งรัฐบาลและ“ผู้มากบารมี”แห่ง บ้านสี่เสาเทเวศร์
**แต่แม้มีข่าวว่าฝั่ง“นายหญิงใหญ่”จะยอมเคาะประตูบ้านฝั่ง “ผู้มีอำนาจ”ด้วยตัวเอง แต่เหมือน ประตูยังปิดสนิท ไม่มีเสียตอบรับจากคนในบ้านแต่อย่างใด
เหตุผลหนึ่งเพราะอาจจะอ่านออกว่า“นายหญิงใหญ่”ต้องการอะไร ถึงพยายามเดินสายขอต่อรอง แม้จะไม่ได้ยินข้อเสนอจากปากของ “นายหญิงใหญ่”เอง แต่ก็พออ่านทิศทางของ ตระกูลชินวัตร ออก
โดยเฉพาะคดีของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”น้องสาวสุดเลิฟของ “นช.แม้ว”ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น“โคลนนิ่ง” หากงานนี้โดนตัดสินให้จำคุกจากคดีโครงการรับจำนำข้าว มีหวังเป็นยิ่งกว่า“โคลนนิ่ง”กันอีกแง่ มีคำนำหน้าเป็น“นักโทษหญิง”ไม่ต่างกับพี่ชาย
ข้อต่อรองที่คาดการณ์กันว่า“นายหญิงใหญ่”พยายามชงขึ้นโต๊ะเจรจาคือ คดีของยิ่งลักษณ์ ที่ล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประทับรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว รอแค่วันให้ ยิ่งลักษณ์ เข้าให้ปากคำต่อชั้นศาล
ซึ่งหากดูตามเนื้อผ้าแล้ว ยิ่งลักษณ์รอดยากเหลือเกิน โทษจำคุกอาจจะโดนแน่ๆ แต่โทษปรับ อาจจะมีการประนีประนอมลดให้กันได้
แต่อุปสรรคของ ยิ่งลักษณ์ คือ “ทางหนี”ที่มีน้อยมาก เพราะโดน คสช. ประกบติดทุกทิศทาง เรียกได้ว่า จะขยับตัวหนีเป็นอันรู้ความเคลื่อนไหวทันที หากจะคิดหนีจากเงื้อมมือของ คสช. ทางรอดทางเดียวคือ การเปิดโต๊ะเจรจา และอาจจะเป็นเงื่อนไขที่“ตระกูลชินวัตร”เสียเปรียบอย่างสุดกู่ ชนิดที่ยอมถอยหลังชนฝาแล้ว อาจจะยังต่อรองไม่สำเร็จด้วยซ้ำ
**จากนี้ต้องติดตามว่า “ดีลลับ”ของบรรดา “ผู้มากบารมี”กับความเคลื่อนไหวของ“นายหญิงใหญ่”จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ประตูที่ปิดตายอยู่ขณะนี้จะแง้มเปิดช่องมาให้ “ตระกูลชินวัตร”ได้หายใจบ้างหรือไม่
**ทุกย่างก้าวการเมืองหลังจากนี้ ห้ามกระพริบตา...