“ไพบูลย์” เผย คกก.ปฏิรูปพุทธศาสนาเตรียมส่งรายงาน สปช. แจงปัญหาสำคัญเรื่องทรัพย์สิน ละเมิดวินัย-คำสอน พร้อมดันร่าง พ.ร.บ.จัดการทรัพย์สินวัด-พระ แก้ ป.แพ่งให้รายได้ตอนสมณเพศตกเป็นของวัด ให้การกระจายอำนาจปกครองคณะสงฆ์ แทนแบบรวมศูนย์อำนาจ ยึดหลักปฏิบัติกันบิดเบือน ปฏิรูปการศึกษาสงฆ์ให้ทันเหตุการณ์
วันนี้ (22 มี.ค.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้ส่งรายงานเรื่องรายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสตร์ต่อ สปช.แล้ว เบื้องต้นคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของ สปช.ได้ในวันที่ 24 มี.ค.นี้ สำหรับประเด็นสำคัญคือการศึกษาของคณะกรรมการฯ เป็นไปตามกรอบความเห็นปฏิรูปประเทศไทย ด้านอื่นๆ ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ระบุว่าต้องมีการส่งเสริมให้ศานาเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาคน สังคมและประเทศชาติให้มีความมั่นคง จากการประชุมหารือกันจำนวน 5 ครั้ง พบ 4 ปัญหาสำคัญ คือ 1. ทรัพย์สินของวัดหรือของพระสงฆ์ที่ไม่มีการตรวจสอบ หรือการเปิดเผยทรัพย์สิน จนทำให้พระสงฆ์จำนวนมากมุ่งแสวงประโยชน์เข้าสู่ตนเองมากกว่าศึกธรรมและปฏิบัติธรรมตามแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา 2. ปัญหาของสงฆ์ที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จนกลายเป็นความเสื่อมศรัทธา ทั้งนี้มีสาเหตุจากปัญหาการปกครองของคณะสงฆ์ที่เป็นแบบรวมศูนย์ และ การศึกษาคณะสงฆ์
3.การทำให้พระธรรมวินัยให้วิปริต และการประพฤติปฏิบัติวิปริตจากพระธรรมวินัย เช่น กรณีของวัดพระธรรมกายที่มีแนวทางคำสอนที่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัยที่ร้ายแรง โดยชักจูงประชาชนให้เชื่อว่า บุญ คือ สินค้า รวมถึงยังมีพฤติกรรมรับเงินบริจาคที่มาโดยมิชอบ ดังนั้นประเด็นที่เกิดขึ้นต้องมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อชำระการปฏิบัติที่เพี้ยนจากพระธรรมวินัย 4. ฝ่ายอาณาจักรต้องสนับสนุน ปกป้อง คุ้มครองกิจการของฝ่ายศาสจักร โดยการจัดโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ที่มีความคล่องตัว
นายไพบูลย์กล่าวด้วยว่า ทางคณะกรรมการฯ ยังได้เสนอข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสตร์ ต่อ สปช.ดังนี้ คือ 1. ให้มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุ โดยอย่างน้อยต้องมีกลไกหลักในการดำเนินงาน คือ การจัดทำงบบัญชีทรัพย์สินของวัด, ทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ รวมถึงผลประโยชน์อื่นที่ได้มาจากการดำเนินงานภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ย่อมตกเป็นของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคล พระสงฆ์ หรือวัดใด, การบริหารจัดการทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ ของวัดและพระ ควรให้พุทธบริษัท 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา มีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ที่กำหนดให้ทรัพย์สินของพระภิกษะที่ได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นแต่พระภิกษุนั้นจะจำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรม เพื่ออุดช่องว่างทางกฎหมาย และให้เป็นไปตามธรรมวินัย โดยให้ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างเป็นพระภิกษะให้ตกเป็นของวัดนับตั้งแต่ที่ได้มา และไม่สามารถจำหน่าย โอน หรือทำพินัยกรรมยกให้บุคคลอื่นได้
2. เสนอให้แก้กฎหมายมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 พ.ศ. 2541 ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ หรือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ในสาระสำคัญ คือ การกระจายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์ แทนการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ โดยคณะสงฆ์ที่อยู่ในวัดและพุทธศาสนิกชนรอบวัดร่วมกันดูแลและกิจการพุทธศาสนา รวมถึงปฏิรูปให้พระสงฆ์ทั่วประเทศมีส่วนร่วมแสดงความเห็นและร่วมกำหนดนโยบายบริหารและกระจายอำนาจจากระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ขณะที่การแต่งตั้งถอดถอนเจ้าอาวาส ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย
3. ต้องมีกลไกนำหลักปฏิบัติตามพุทธบัญญัติที่ทรงไว้ซึ่งความดี ถูกต้อง และบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนามาปฏิบัติ เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนหรือแอบอ้างพระธรรมวินัย
4. ปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันเหตุการณ์ โดยราชการต้องให้ความสำคัญด้านการศึกษาของคณะสงฆ์ด้วย ทั้งนี้พบว่าการศึกษาของคณะสงฆ์ โดยเฉพาะศึกษาปริยัติธรรม, แผนกบาลี และแผนกธรรมไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขทำให้ค่านิยมในหมู่พระภิกษุ สามเณร และเยาวชนลดลง