“ คนชื่อ ป๋วย “ ( A Man Called Puey) เป็นชื่อ นิทรรศการ ประวัติ ผลงานของอาจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ. 2502 -2514 ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่ 99 ที่ห้องสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
อาจารย์ป๋วย เกิดวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2459 ปีหน้า จะครบ 100 ปี นิทรรศการ คนชื่อป๋วย เป็นหนึ่งในกิจกรรมฉลองชาตกาล 100 ปี ศาสตราจารย์ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งกิจกรรมหลักคือ ปาฐกถา 100 ป๋วย อึ๊งภากรณ์ โดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดขึ้นทุกเดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน ปีนี้ ไปจนถึงเดือนมกราคม ปีหน้า รวม 10 ครั้ง
นิทรรศการ “คนชื่อป๋วย”(A Man Called Puey)จัดขึ้นเพื่อแสดงประวัติ ผลงาน และเกียรติยศ โดยเป็นการจัดแสดงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ MBE ที่ ศ.ดร.ป๋วย ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร จากวีรกรรมเสรีไทย
นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงรางวัลรามอน แมกไซไซ หรือโนเบลสาขาสันติภาพแห่งเอเชีย เชิดชูเกียรติคุณความดีสูงสุดในการทำงานเพื่ออุทิศตนทำงานบริการประชาชนในสังคมประชาธิปไตย ของ ศ.ดร.ป๋วย เพื่อให้คนไทย โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้รับรู้และร่วมภาคภูมิใจในผลงานอันเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกของ ศ.ดร.ป๋วยที่ได้อุทิศตนทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ กล่าวในพิธีเปิดนิทรรศการ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า
“อาจารย์ ดร.ป๋วย เป็นสามัญชนที่ไม่ธรรมดา ท่านเป็นครูสอนหนังสือ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เป็นวีรชน เป็นนักพัฒนา เป็นข้าราชการ และที่สำคัญคือเป็นนักมนุษยธรรม ดังนั้น ความสนใจและผลงานของท่านจึงมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่วิชา‘เศรษฐศาสตร์’หรือพรมแดนทางภูมิศาสตร์ เพียงแค่แผนที่ ‘ประเทศไทย/ขวานทอง’ วิชาการของท่านไม่เพียงขยายครอบคลุม ‘สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์’แต่ยังก้าวข้ามไปสู่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก้าวข้ามไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะให้วิชาการสร้าง‘สันติประชาธรรม’ขึ้นมาให้จงได้”
ระหว่างปี 2514 – 2516 หลังลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ป๋วยได้ไปดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษ ที่ University College มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ด้วยภาระการสอนที่ไม่มากนักทำให้อาจารย์ป๋วยได้ผลิตงานชิ้นสำคัญ 2 เรื่อง
นึ่งในสองเรื่องนั้นคือ “ ข้อคิดเพื่อการพัฒนาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับ ค.ศ. 1980 “ ซึ่งมีภาคผนวกอันเลื่องชื่อ The Quality of Life of a South East Asian
ภาคผนวกนี้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในชื่อ The Quality of Life of a South East Asian : A Chronicle of Hope from Womb to To Tomb ต่อมา อาจารย์ป๋วย ได้แปลเป็นภาษาไทย ในชื่อ “คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” หรือที่รู้จักกันดีในเวลาต่อมาในชื่อ “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”
บทแปลภาษาไทย พิมพ์ครั้งแรกในวารสาร สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่11 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2516
ในโอกาส ย่างเข้าสู่ชาตกาล 100 ปี อาจารย์ป๋วย ขอนำข้อเขียนนี้ มานำเสนอ ณ ทีนี้
“ เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่ ผมต้องการให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์ และได้รับความเอาใจใส่ และบริการอันดีในเรื่องสวัสดิภาพของแม่และเด็ก ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากอย่างที่พ่อแม่ผมมีอยู่ และแม่จะต้องไม่มีลูกถี่นัก
พ่อกับแม่จะแต่งงานกันถูกฎหมาย หรือธรรมเนียมประเพณีหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ พ่อกับแม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทำความอบอุ่นให้ผมและพี่น้อง
ในระหว่าง 2-3 ขวบแรกของผม ซึ่งร่างกายและสมองผมกำลังเติบโตในระยะที่สำคัญ ผมต้องการให้แม่ผมกับตัวผม ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์
ผมต้องการไปโรงเรียน พี่สาวหรือน้องสาวผมก็ต้องการไปโรงเรียน จะได้มีความรู้หากินได้ และจะได้รู้คุณธรรมแห่งชีวิต ถ้าผมสติปัญญาเรียนชั้นสูง ๆ ขึ้นไป ก็ให้มีโอกาสเรียนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ผมจะรวย หรือจน จะอยู่ในเมืองหรือชนบทแร้นแค้น
เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว ผมต้องการงานอาชีพที่มีความหมาย ทำให้ได้รับความพอใจว่า ตนได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่สังคม
บ้านเมืองที่ผมอาศัยอยู่จะต้องมีขื่อ มีแป ไม่มีการข่มขู่ กดขี่ หรือประทุษร้ายกัน ประเทศของผมควรจะมีความสัมพันธ์อันชอบธรรม และเป็นประโยชน์กับโลกภายนอก ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงความคิด และวิชาของมนุษย์ทั้งโลก และประเทศของผมจะได้มีโอกาส รับเงินทุนจากต่างประเทศ มาใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม
ผมต้องการให้ชาติของผมได้ขายผลิตผลแก่ต่างประเทศด้วยราคาอันเป็นธรรม ในฐานะที่ผมเป็นชาวไร่ชาวนา ผมก็อยากมีที่ดินของผมพอสมควรสำหรับทำมาหากิน มีช่องทางได้กู้ยืมเงินมาขยายงาน มีโอกาสรู้วิธีการทำกินแบบใหม่ ๆ มีตลาดดี และขายสินค้าได้ราคายุติธรรม
ในฐานะที่ผมเป็นกรรมกร ผมก็ควรจะมีหุ้นมีส่วนในโรงงาน บริษัทห้างร้านที่ผมทำอยู่
ในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์ ผมก็ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์ และหนังสืออื่น ๆ ที่ไม่แพงนัก จะฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ก็ได้โดยไม่ต้องทนรบกวนจากการโฆษณามากนัก
ผมต้องการสุขภาพอนามัยอันดี และรัฐบาลจะต้องให้บริการป้องกันโรคแก่ผมฟรี กับบริการการแพทย์ รักษาพยาบาลอย่างถูกอย่างดี เจ็บป่วยเมื่อใดหาหมอพยาบาลได้สะดวก
ผมจำเป็นต้องมีเวลาว่างสำหรับเพลิดเพลินกับครอบครัว มีสวนสาธารณะที่เขียวชะอุ่ม สามารถมีบทบาท และชมศิลปะ วรรณคดี นาฏศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรมต่าง ๆ เที่ยวงานวัด งานลอยกระทง งานนักขัตฤกษ์ งานกุศลอะไรก็ได้พอสมควร
ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม
เรื่องอะไรที่ผมทำเองไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ดี ผมก็จะขอความร่วมมือกับเพื่อนฝูงในรูปสหกรณ์ หรือ สโมสร หรือสหภาพ จะได้ช่วยซึ่งกันและกัน
เรื่องที่ผมจะเรียกร้องข้างต้นนี้ ผมไม่เรียกร้องเปล่า ผมยินดีเสียภาษีอากรให้ส่วนรวมตามอัตภาพ
ผมต้องการโอกาสที่มีส่วนในสังคมรอบตัวผม ต้องการมีส่วนในการวินิจฉัยโชคชะตาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ
เมียผมก็ต้องการโอกาสต่าง ๆ เช่นเดียวกับผม และเราสองคนควรจะได้รับความรู้และวิธีการวางแผนครอบครัว
เมื่อแก่ ผมและเมียก็ควรได้ประโยชน์ตอบแทนจากการประกันสังคม ซึ่งผมได้จ่ายบำรุงตลอดมา
เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ
เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ เก็บไว้ให้เมียผมพอใจในชีวิตของเธอ ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้ เลี้ยงให้โต แต่ลูกที่โตแล้วไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมด จะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่น ๆ บ้าง”