ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่า เจษฎ์ โทณวณิก กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะออกตัวว่าเป็นข้อเสนอส่วนตัวที่เสนอให้พวกที่อยู่ในแม่น้ำห้าสาย ทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐบาล สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 2 ปี โดยให้กำหนดอยู่ในบทเฉพาะกาล แต่ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดีและควรสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะหากเป็นไปได้จริงย่อมจะเกิดการพัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศนี้ไปได้อีกก้าวใหญ่ อย่างน้อยก็เรื่องจริยธรรม และสปิริตทางการเมือง ที่เวลานี้กำลังหาได้ยากเต็มที ซึ่งก็เป็นสาเหตุสำคัญของวิกฤติของบ้านเมืองมาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ดี ข้อเสนอดังกล่าวทำท่าจะเป็นไปไม่ได้ เป็นแค่เพ้อฝัน เพราะเริ่มมีเสียงคัดค้านออกมาทันทีจากบางกลุ่ม ที่ออกตัวแรวก่อนใครก็เห็นจะเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) ที่อ้างว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนร่วมในการยกรัฐธรรมนูญโดยตรง ไม่มีส่วนได้เสียกับรัฐธรรมนูญฉบับใม่ จึงไม่สมควรที่จะต้องถูกเว้นวรรคทางการเมือง
คำพูดและท่าทีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหากออกมาจากสมาชิก สนช. เพราะก่อนหน้านี้ก็ปรากฏข้อเท็จจริงในเรื่องของการแต่งตั้งลูกเมียญาติพี่น้องเข้าไปเป็นที่ปรึกษา คณะทำงานส่วนตัวกินเงินเดือนหลวงกันอย่างไร้ยางอายกันมาแล้ว คนพวกนี้อ้างแต่เพียงว่า “ไม่ผิดกฎหมาย” หรือกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้จึงทำแบบนี้ แต่คำถามก็คือในเรื่อง “ความเหมาะสมและจิตสำนึก” เคยคิดกันบ้างหรือไม่ และคำถามก็คือหากเงินที่จ้างเป็นเงินส่วนตัวจะยินดีจ้างลูกเมียตัวเองแบบนี้หรือไม่ ดังนั้น มันจึงไม่ต่างจาก “ศรีธนญชัย” และที่สำคัญคนพวกนี้หมดความชอบธรรมที่จะไปทำหน้าที่ลงมติ “ถอดถอน” โดยเฉพาะอดีต ส.ส. และ ส.ว. ชุดก่อนที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ข้ออ้างที่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง นั้นก็ถือว่าไม่ผิด แต่เมื่อพิจารณาจากที่มามันก็มาจาก “มดลูกเดียวกัน” นั่นคือ มาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาในสถานการณ์พิเศษ ทำหน้าที่เพื่อวางกฎกติกาใหม่ และที่สำคัญอยู่ภายใต้บรรยากาศ “ปฏิรูปแห่งชาติ” มันก็น่าจะมีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าคำถามเรื่อง “การสืบทอดอำนาจ” จะพุ่งเป้าไปที่คนในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นหลัก คนในรัฐบาล รวมทั้งบรรดาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ก็ตาม แต่ในก็ตามที่อยู่ในเครือข่าย “แม่น้ำ 5 สาย” มันก็น่าจะไปในทางเดียวกัน
ที่ผ่านมา อาจมีแค่คำยืนยันส่วนตัวออกมาให้เห็นบ้าง เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่า จะไม่มีการสืบทอดอำนาจ และตัวเองจะกลับไปอยู่กับครอบครัว หรือแม้แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คนสำคัญใน คสช. ก็ยืนยันแบบคลุมๆ ว่า “จะไม่เล่นการเมือง” เท่านั้นคนอื่นยังไม่มีการพูดถึง อย่างไรก็ดี ในเมื่อไม่มีข้อห้ามเมื่อถึงเวลา หรือในสถานการณ์เหมาะสมก็อาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งก็ได้
อย่างไรก็ดี ท่าทีล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยันว่าจะยึดตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ซึ่งกำหนดข้อห้ามเอาไว้เฉพาะคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะมีส่วนได้เสียโดยตรง อีกทั้งประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ เทียนฉาย กีระนันทน์ ที่เห็นด้วยจะให้สมาชิก สปช. เว้นวรรคการเมือง โดยเห็นว่ามีส่วนได้เสีย เพราะเป็นผู้ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ดังนั้น หากพิจารณากันถึงเรื่องการเว้นวรรคทางการเมืองจะเกิดขึ้นหรือไม่ และใครควรเส้นวรรคบ้าง นอกจากนี้ ต้องมีข้อห้ามกำหนดเอาไว้ให้ชัดเจน เพื่อป้องกันพวก “ศรีธนญชัย” แล้ว ส่วนสำคัญที่สุดขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและมีจิตวิญญาณของการปฏิรูป มีสปิริต และเป็นตัวอย่างที่ดีว่าการเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละ เป็นการส่งเสริมคนดีมีจริยธรรมเข้ามา การเมืองไม่ใช่ใบเบิกทางสู่ความร่ำรวยและอำนาจอย่างที่เคยเป็นมาจนเกิดวิกฤตและสร้างความล้าหลังให้กับบ้านเมืองมานาน !!
