“ถวิล พึ่งมา” ร้องผู้ตรวจฯ หลังไม่ได้รับความเป็นธรรม คดีโกงเงิน สจล. ขอพนักงานสอบสวนสอบเพิ่ม ชี้อาจเชื่อมโยงอีก 2 อธิการฯ “กิตติ ตีรเศรษฐ-โมไนย ไกรฤกษ์” ในช่วงเงินของสถาบันหาย เชื่อมีคนธนาคารเอี่ยว แต่กลับพุ่งเป้าตนเองคนเดียว
วันนี้ (2 มี.ค.) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการผู้ตรวจฯ เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสอบการทำงานของพนักงานสอบสวนในดคียักยอกทรัพย์ สจล. ที่มี พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รองผู้บังคับการกองปราบปราม เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมการสอบสวนพุ่งเป้ามาที่ตนเองเพียงคนเดียว ทั้งที่คดียักยอกทรัพย์ได้เกิดขึ้นคาบเกี่ยวผู้บริหาร สจล.รวม 3 ชุด คือ ก่อนที่ตนจะเข้าดำรงตำแหน่งอธิการบดี สจล. ในเวลานั้นมีนายกิตติ ตีรเศรษฐ ดำรงตำแหน่งอธิการบดีในช่วงปี 2548-2555 ตนดำรงตำแหน่งช่วงวันที่ 20 ก.ค. 2555 - 27 พ.ย. 2556 และหลังตนพ้นตำแหน่งซึ่งมีนายโมไนย ไกรฤกษ์ ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2556 ถึงปัจจุบัน แต่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบสวนให้ตรงข้อเท็จจริง โดยไม่ทำการสอบสวนอธิการบดีอีก 2 คนอย่างละเอียด ขณะนี้พนักงานสอบสวนระบุว่าจะไม่มีการสอบสวนเพิ่มเติม เพราะได้ตัวผู้กระทำแล้ว ทั้งที่เมื่อสอบถามถึงพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวนระบุว่ามีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถามว่าอีก 70 เปอร์เซ็นต์หายไปไหน ทำไมจึงไม่สอบ
นายถวิลกล่าวว่า แสดงความเชื่อว่าการยักยอกทรัพย์ไม่ใช่คนของ สจล.ทำเพียงฝ่ายเดียว เชื่อว่าต้องมีการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของธนาคาร เพราะการที่ธนาคารอ้างว่าเมื่อตนพ้นจากตำแหน่งยังได้มีการเปิดบัญชีซึ่งประเด็นนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดที่มีอำนาจเป็นอธิการบดี ธนาคารยังขอดูเอกสารการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอธิการบดี ถ้าไม่มีคนในธนาคารเกี่ยวข้องจะไปเปิดบัญชีได้อย่างไร รวมทั้งเงินที่หายไป ก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่งได้หายไป 300 ล้านบาท พอตนเข้ารับตำแหน่งได้หายไป 800-900 ล้านบาท และเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วเงินก็ยังหายไม่หยุด โดยกระบวนการที่เกิดขึ้นไม่มีทางที่ผู้บริหาร สจล.จะทำเพียงฝ่ายเดียว ต้องมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารรวมด้วยมีลักษณะ 50-50 อย่างเช่น ธนาคารอ้างว่าตนได้เซ็นเอกสารย้อนหลังทั้งที่ตนไม่มีอำนาจที่จะเซ็น แสดงว่าคนในธนาคารได้ขโมยเอกสารของตนไปใช้ เรื่องนี้มีลับลมคมในอยู่ แต่วันนี้พนักงานสอบสวนจะไม่สอบเพิ่มเติมเพราะบอกว่าเจอบอส
“ผมเป็นอธิการบดี คนในสถาบันยังเรียกว่าอาจารย์ แต่พนักงานสอบสวนระบุว่าคนในสถาบันมาเรียกผมว่าบอส ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการทำงานของพนักงงานสอบสวนว่าได้ดำเนินการสอบสวนครบถ้วนและเป็นธรรมหรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่ายังไม่ได้มีการสอบธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งปรากฏข้อมูลผ่านสื่อว่าธนาคารไทยพาณิชย์ได้จัดส่งเอกสารให้พนักงานสอบสวนเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่อีก 70 เปอร์เซ็นต์ไม่มีการนำส่ง และพบว่าไม่มีการสอบอธิการบดีอีก 2 คนที่อยู่ในช่วงเงินของสถาบันหาย จึงถือว่าการดำเนินการของพนักงานสอบไม่ครบถ้วนก่อนที่จะมาแจ้งข้อกล่าวหาตน” นายถวิลกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข้อมูลว่าบุคคลใดเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า ตนได้ออกจากตำแหน่งอธิการบดีตั้งแต่ปี 2556 และเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2557 ไม่มีอะไรในมือเลย แต่ตามรายงานก็พบว่าเงินได้หายไปตั้งแต่ตนจะเข้ารับตำแหน่งแล้ว
ด้านนายรักษเกชากล่าวว่า ตนจะรายงานต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และจะสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าได้มีการสอบสวนครบถ้วนหรือไม่ พนักงงานสอบสวนอาจจะสอบไปแล้วแต่ไม่ได้แจ้งนายถวิลทราบก็ได้ แต่ผู้ตรวจไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งให้พนักงานสอบสวนยุติการปิดสำนวนคดี เพราะผู้ตรวจไม่มีอำนาจสั่งคุ้มครองชั่วคราวเหมือนศาล อีกทั้งหากบางเรื่องก็ต้องเกี่ยวกับดุลพินิจของหน่วยงานนั้น ส่วนระยะที่จะให้หน่วยงานที่ถูกร้องชี้แจงโดยปกติใน 30 วัน แต่กรณีนี้อาจจะทำให้เร็วกว่านั้น