เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินผ่าน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการผู้ตรวจฯ เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสอบการทำงานของพนักงานสอบสวนในดคียักยอกทรัพย์ สจล. เนื่องจากเห็นว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมการสอบสวน ทั้งที่คดียักยอกทรัพย์ได้เกิดขึ้นคาบเกี่ยวผู้บริหารสจล.รวม 3 ชุด คือ ก่อนที่ตนจะเข้าดำรงตำแหน่งอธิการบดี สจล. ระหว่างที่ตนดำรงตำแหน่งตอน และหลังตนพ้นตำแหน่ง แต่ปรากฎว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบสวนให้ตรงข้อเท็จจริง โดยไม่ทำการสอบสวนอธิการบดีอีก 2 คน ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนระบุว่าจะไม่มีการสอบสวนเพิ่มเติม เพราะได้ตัวผู้กระทำแล้ว ทั้งที่เมื่อสอบถามถึงพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวนระบุว่ามีเพียง 30% เท่านั้น
นายถวิล กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการยักยอกทรัพย์ ไม่ใช่คนของสจล.ทำเพียงฝ่ายเดียว ต้องมีการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของธนาคาร เพราะการที่ธนาคารอ้างว่าเมื่อตนพ้นจากตำแหน่งยังมีการเปิดบัญชี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดที่มีอำนาจเป็นอธิการบดี ธนาคารยังขอดูเอกสารการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นอธิการบดีเลย ถ้าไม่มีคนในธนาคารเกี่ยวข้องจะไปเปิดบัญชีได้อย่างไร รวมทั้งเงินที่หายไป ก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่งได้หายไป 300 ล้านบาท พอตนเข้ารับตำแหน่งได้หายไป 800-900 ล้านบาท และเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วเงินก็ยังหายไม่หยุด
“ตนเป็นอธิการบดี คนในสถาบันยังเรียกว่าอาจารย์ แต่พนักงานสอบสวนยังระบุว่าคนในสถาบันมาเรียกตนว่าบอส ดังนั้น จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการทำงานของพนักงานสอบสวนว่าได้ดำเนินการสอบสวนครบถ้วนและเป็นธรรมหรือไม่ ผมยังไม่ได้มีการสอบสวนธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งปรากฎข้อมูลผ่านสื่อว่าธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จัดส่งเอกสารให้พนักงานสอบสวนเพียง 30% แต่อีก 70% ไม่มีการนำส่ง และพบว่าไม่มีการสอบอธิการบดีอีก 2 คน ที่อยู่ในช่วงเงินของสถาบันหาย จึงถือว่าการดำเนินการของพนักงานสอบไม่ครบถ้วนก่อนที่จะมาแจ้งข้อกล่าวหาตน” นายถวิลกล่าว
ด้านนายรักษเกชา กล่าวว่า จะรายงานต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และจะสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าได้มีการสอบสวนครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งพนักงงานสอบสวนอาจจะสอบไปแล้วแต่ไม่ได้แจ้งนายถวิลทราบก็ได้ แต่ผู้ตรวจไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งให้พนักงานสอบสวนยุติการปิดสำนวนคดี เพราะผู้ตรวจไม่มีอำนาจสั่งคุ้มครองชั่วคราวเหมือนศาล อีกทั้งหากบางเรื่องก็ต้องเกี่ยวกับดุลพินิจของหน่วยงานนั้น ส่วนระยะที่จะให้หน่วยงานที่ถูกร้องชี้แจงโดยปกติใน 30 วัน แต่กรณีนี้อาจจะทำให้เร็วกว่านั้น
นายถวิล กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการยักยอกทรัพย์ ไม่ใช่คนของสจล.ทำเพียงฝ่ายเดียว ต้องมีการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของธนาคาร เพราะการที่ธนาคารอ้างว่าเมื่อตนพ้นจากตำแหน่งยังมีการเปิดบัญชี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดที่มีอำนาจเป็นอธิการบดี ธนาคารยังขอดูเอกสารการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นอธิการบดีเลย ถ้าไม่มีคนในธนาคารเกี่ยวข้องจะไปเปิดบัญชีได้อย่างไร รวมทั้งเงินที่หายไป ก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่งได้หายไป 300 ล้านบาท พอตนเข้ารับตำแหน่งได้หายไป 800-900 ล้านบาท และเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วเงินก็ยังหายไม่หยุด
“ตนเป็นอธิการบดี คนในสถาบันยังเรียกว่าอาจารย์ แต่พนักงานสอบสวนยังระบุว่าคนในสถาบันมาเรียกตนว่าบอส ดังนั้น จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการทำงานของพนักงานสอบสวนว่าได้ดำเนินการสอบสวนครบถ้วนและเป็นธรรมหรือไม่ ผมยังไม่ได้มีการสอบสวนธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งปรากฎข้อมูลผ่านสื่อว่าธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จัดส่งเอกสารให้พนักงานสอบสวนเพียง 30% แต่อีก 70% ไม่มีการนำส่ง และพบว่าไม่มีการสอบอธิการบดีอีก 2 คน ที่อยู่ในช่วงเงินของสถาบันหาย จึงถือว่าการดำเนินการของพนักงานสอบไม่ครบถ้วนก่อนที่จะมาแจ้งข้อกล่าวหาตน” นายถวิลกล่าว
ด้านนายรักษเกชา กล่าวว่า จะรายงานต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และจะสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าได้มีการสอบสวนครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งพนักงงานสอบสวนอาจจะสอบไปแล้วแต่ไม่ได้แจ้งนายถวิลทราบก็ได้ แต่ผู้ตรวจไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งให้พนักงานสอบสวนยุติการปิดสำนวนคดี เพราะผู้ตรวจไม่มีอำนาจสั่งคุ้มครองชั่วคราวเหมือนศาล อีกทั้งหากบางเรื่องก็ต้องเกี่ยวกับดุลพินิจของหน่วยงานนั้น ส่วนระยะที่จะให้หน่วยงานที่ถูกร้องชี้แจงโดยปกติใน 30 วัน แต่กรณีนี้อาจจะทำให้เร็วกว่านั้น
