ประชุม สนช.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ผ่านฉลุย ห้ามชุมนุมใกล้วัง 150 ม. ทำเนียบ สภา ศาล สถานทูต 50 ม. แกนนำทำระบบสาธารณูปโภคอัมพาตเจอคุกไม่เกิน 10 ปี สมาชิกติงกำหนดโทษมั่ว ต้องแยกให้ชัด หวั่นขัดคำวินิจฉัยศาล รธน. ซ้ำรอย พ.ร.บ.ทางหลวง “วิษณุ” ยันหารือรอบคอบทุกด้าน มั่นใจคุ้มครองเสรีภาพ ปชช. วางกรอบทำงาน จนท.รัฐ พร้อมเตรียมออกคู่มือรองรับม็อบในอนาคต
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ... โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รายงานหลักการและเหตุผลโดยการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สิทธิชุมนุมสาธารณะให้ชัดเจนและสอดคล้องกับการชุมนุมว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ประเทศไทยเป็นภาคี เพื่อให้ชุมนุมสาธารณะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ตลอดจนสุขอนามัย หรือความสะดวกของประชาชนที่ใช้ในสาธารณะและไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ร่างฯ นี้จะทำให้ผู้จัดการชุมนุม ผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ดำเนินการร่วมกันในการบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะเพื่อลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อยของบ้านเมืองเช่นเดียวกับอายรประเทศ และเป็นการดูแลรักษาความปลอดภัย อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด รวมทั้งวางกรอบการชุมนุมให้ชัดเจน
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายมีสาระสำคัญ เช่น กำหนดความหมายของ “การชุมนุมสาธารณะ” คือ การชุมนุมของบุคคลในที่สาธารณะเพื่อเรียกร้อง สนับสนุน คัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และบุคคลอื่นสามารถร่วมการชุมนุมนั้นได้ ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะมีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายด้วยหรือไม่ กำหนดความหมายคำว่า “ผู้จัดการชุมนุม” คือ ผู้จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะ และให้หมายความรวมถึงผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุมฯ และผ้าเชิญชวนหรือนัดให้ผู้อื่นมาร่วมชุมนุมฯ เป็นต้น
ส่วนในหมวดทั่วไปกำหนดให้การชุมนุมสาธารณะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ห้ามจัดชุมนุมในรัศมี 150 เมตรจากพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง วังของพระรัชทายาทหรือพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป พระราชนิเวศน์ พระตำหนัก หรือสถานที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไปหรือผู้สำเร็จราชการแทน ประทับหรือพำนัก หรือสถานที่พำนักของพระราชอาคันตุกะ การชุมนุมในพื้นที่รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และศาลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีการจัดให้มีสถานที่เพื่อใช้สำหรับการชุมนุมในพื้นที่นั้น
กำหนดให้การชุมนุมต้องไม่กีดขวางทางเข้าออกหรือรบกวนการปฏิบัติงานหรือการใช้บริการสถานที่ต่อไปนี้ 1. สถานที่ทำการหน่วยงานของรัฐ 2. ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ หรือสถานีขนส่งสาธารณะ 3. โรงพยาบาล สถานศึกษา และศาสนสถาน 4. สถานทูตหรือสถานกงสุลหรือสถานที่ทำการองค์การระหว่างประเทศ 5. สถานที่อื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ทั้งนี้ในกรณีจำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัย ผบ.ตร.หรือผู้รับมอบหมายมีอำนาจประกาศห้ามชุมนุมในรัศมี 50 เมตร รอบสถานที่ซึ่งกำหนดในกฎหมายนี้
ข้อกำหนดเรื่องการแจ้งการชุมนุม กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะ ให้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยว่า 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งต้องระบุวัตถุประสงค์ และวัน ระยะเวลา และสถานที่ชุมนุมสาธารณะ ซึ่งหากผู้รับแจ้งการชุมนุมเห็นว่าผู้แจ้งไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดตามกฎหมายนี้ ให้ผู้รับแจ้งมีคำสั่งห้ามชุมนุม โดยแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือไปยังผู้แจ้ง ซึ่งผู้แจ้งสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งห้ามชุมนุมได้
กำหนดหน้าที่ของผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ คือ ต้องดูแลรับผิดชอบการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธ ดูแลไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ไม่ปราศรัยหรือจัดกิจกรรมโดยใช้เครื่องขยายเสียงระหว่างเวลา 24.00-06.00 น. ในส่วนของผู้ชุมนุมมีหน้าที่ต้องไม่ปิดบังอำพรางตัวเว้นแต่เป็นการแต่งกายตามปกติประเพณี ไม่พกพาอาวุธเข้าไปในที่ชุมนุม ไม่บุกรุกหรือทำให้เสียหาย ทำลาย ซึ่งทรัพย์สินผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินหรือเสรีภาพ ไม่ใช้กำลังประทุษร้ายหรือข่มขู่ผู้เข้าร่วมชุมนุมหรือผู้อื่น ไม่เดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุมระหว่างเวลา 18.00-06.00 น. เว้นแต่ได้รับอนุญาต
ด้านบทลงโทษผู้ใดฝ่าฝืนชุมนุมในพื้นที่ห้ามชุมนุม หรือฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ในส่วนผู้จัดการชุมนุมหากกระทำให้ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบการสื่อสารหรือโทรคมนาคม ระบบผลิตหรือส่งกระแสไฟฟ้าหรือประปา หรือระบบสาธารณูปโภคอื่นใดใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชั่วคราวหรือถาวร ผู้จัดการชุมนุมต้องมีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีผู้ใดไม่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมฯ หรือผู้ควบคุมสถานการณ์หรือผู้ได้รับมอบหมายฯให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายนี้พาอาวุธเข้าไปในที่ชุมนุม ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตให้มีอาวุธนั้นติดตัวหรือไม่ มีโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรืปรับไม่เกินหกหมื่นบาท แต่ถ้าอาวุธนั้นเป็นปืน วัตถุระเบิดหรือวัตถุอื่นอันมีสภาพคล้ายคลึงกันผู้กระทำผิดมีโทษจำคุกห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท เป็นต้น
ทั้งนี้ สมาชิก สนช.ได้อภิปรายแสดงความเห็นด้วยกับหลักการดังกล่าว อาทิ นายนรนิต เศรษฐบุตร สนช. ตั้งข้อสังเกตในมาตรา 7 วรรคแรก พูดถึงการจัดชุมนุมในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง ในวรรคหนึ่งจะไม่เกี่ยวกับนักการเมือง แต่วรรคสองพูดถึงการชุมนุมในรัฐสภา ทำเนียบที่เกี่ยวกับนักการเมือง ตนเข้าใจว่าการชุมนุมต้องมีเรื่องที่ขัดเคืองใจและอาจจะประท้วงฝ่ายการเมือง ตนเกรงว่าการใส่ไว้ในมาตราเดียวกันและรวมโทษไว้ด้วยน่าจะระบุโทษไม่เท่านั้น ควรแบ่งออกเป็นมาตรา 7 และมาตรา 7/1 และมาตรา 31 ถ้าผู้จัดการชุมนุมผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 15 ไม่ควรมีโทษเหมือนมาตรา 16 เพราะในมาตรา 16 เรื่องพกพาอาวุธ บุกรุกทำให้เกิดความเสียหาย ประทุษร้าย โทษต้องแรงกว่าเพราะถือเป็นอันตราย
นายมณเฑียร บุญตัน สนช.กล่าวว่า ตนเชื่อว่ารัฐบามีเจตนาที่จะอำนวยความสะดวก และส่งเสริมการชุมนุมในที่สาธารณะโดยชอบ มากกว่าควบคุมหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน แต่ 7-8 ปีที่ผ่านมาการชุมนุมที่เกิดขึ้นมักจะเกิดในยามที่ประชาชนไม่พอใจต่อผู้มีอำนาจ ต้องการขับไล่รัฐบาลซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นการชุมนุมที่ถือว่าเป็นปกติหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการชุมนุมเพ่อแสดงความคิดเห็นตามปกติวิสัย ฉะนั้น หากถูกจำกัดในบางประเด็นก็ยากที่จะนำเอากฎหมายไปบังคับใช้และอัตราโทษผู้ฝ่าฝืนมาตรา 15 เช่นกรณีใช้เครื่องขยายเสียง การเคลื่อนย้ายคน น่าจะแตกต่างจากกรณีประทุษร้าย ทำลายทรัพย์สินโทษไม่น่าจะเสมอกัน และกรณีที่ผู้ปกครองไม่บริหารบ้านเมืองโดยหลักธรรมาภิบาล กฎหมายแบบนี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกำหราบหรือควบคุมไม่ให้ประชาชนที่มีความเห็นต่างออกมาแสดงความเห็นโดยใช้สิทธิเสรีภาพที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้บางประเทศที่เจริญแล้วจะมีกฎหมายลักษณะเช่นนี้ แต่ผู้ชุมนุมและผู้บริหารต่างก็เคารพในหลักกฎหมาย แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้มีอำนาจ ก็ไม่มีการใช้กำลังเข้าหักหาญหรือพยายามบิดเบือนเพื่อได้เปรียบทางการเมือง จึงต้องมีดุลพอสมควรในการบังคับใช้กฎหมาย คือต้องไม่เปิดช่องให้ผู้จัดการชุมนุมนำไปเป็นเหตุผลในการออกมาชุมนุมจนเกินขอบเจต ขณะเดียวกันก็ไม่เปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพจนเกินควร ที่เราต้องออกกฎหมายนี้เพราะต้องการเป็นประเทศที่มีอายระและปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศเรื่องสิทธิพลเมือง ซึ่งประชาชนก็ต้องรู้ถึงการใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีขอบเขตเช่นกัน แต่มีข้อสงสัยกรณีการชุมนุมในสถานศึกษาไม่ถือว่าอยู่ในขอบเขตกฎหมายฉบับนี้ ตนเข้าใจว่าจะเป็นการชุมนุมแบบไหนก็แล้วแต่ตราบใดที่ชุมนุมในสถานการศึกษาก็ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายฉบับนี้ใช่หรือไม่
นายสมคิด เลิศไพทูรย์ สนช.กล่าวว่า การรับรองสิทธิเสรีภาพการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญทุกประเทศรับรอง ยกเว้นการใช้ที่สาธารณะและกีดขวางประชาชน ถือเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลพยายามใช้กฎหมายและมีความจำเป็นที่ต้องตราขึ้นหลังจากมีปัญหาเรื่องการชุมนุมในที่สาธารณะตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อดูร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอมา ตนมีข้อสังเกต 3 ประการ คือ นิยามเรื่อง “ที่สาธารณะ” ที่รวมทางหลวงและทางสาธารณะไว้ด้วยเพื่อพยายามให้ครอบคลุมทั้งหมด แต่ปัญหาที่เกิดคือ เรื่องทางหลวงเคยมีร่าง พ.ร.บ.ทางหลวงเสนอเข้าสภาในปี 49 และเสนอไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีคำวินิจฉัย 23 พ.ค. 49 ว่าการให้ประชาชนต้องขออนุญาตเพื่อชุมนุมบนทางหลวงเป็นการขัดม. 63 ของรัฐธรรมนูญปี 40 แม้จะอ้างว่าในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นเรื่องการแจ้งความชุมนุมไม่ใช่การอนุญาตให้ชุมนุม ซึ่งอาจจะหมิ่นเหม่ต่อความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตนไม่แน่ใจว่าแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความไว้จะมีผลกระทบต่อกฎหมายนี้มากน้อยแค่ไหน และมาตรา 7 เรื่องคนที่ทำหน้าที่ควบคุมการชุมนุมโดยเฉพาะ ผบ.ตช.มีอำนาจกำหนดรัศมีไม่เกิด 50 เมตรรอบสถานที่รัฐสภา ทำเนียบ ศาล ไม่อนุญาตให้ทำได้ในบางกรณี เกรงว่าจะมีปัญหา เพราะการชุมนุมทั้งหลาย โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมือง ผู้ชุมนุมต้องการให้รัฐบาล หรือ ส.ส.ได้รับทราบ หากไปชุมนุมที่ไกลๆ จะเกิดความปัญหาว่าไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งถ้าเอาตามนี้การชุมนุมหน้ารัฐบาลจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมขนาดเล็กที่ต้องการสะท้อนความเดือดร้อนต่อสภาก็ตาม จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจ หรือกำหนดกฎหมายที่มากเกินไปหรือไม่
นอกจากนี้ ในการให้คำสั่งต่างๆของผู้ควบคุมการชุมนุมโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง เพื่อประสงค์ที่จะไม่นำกฎหมายสองฉบับมาใช้ คือ กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายศาลปกครอง ในกรณีกฎหมายแรกตนเห็นด้วยเพราะการอนุญาตหรือดำเนินการต่างๆของผู้ควบคุมการชุมนุมอาจจะไม่สามารถทำได้ทุกอย่างตามกฎหมายนี้ เพราะต้องใช้ความรวดเร็ว หลายเรื่องต้องยกเว้น แต่น่าจะเขียนให้ยกเว้นเรื่องอำนาจของศาลปกครองด้วย ขณะที่ให้ไปตกอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม คำถามคือในอดีตที่ผ่านมาศาลปกครองทำหน้าที่ในการควบคุมการอนุญาตต่างๆ มาตลอด ซึ่งนักวิชาการด้านกฎหมายหลายคนได้แสดงความเห็นว่าควรจะให้เป็นหน้าที่ของศาลปกครองตามเดิมจะเหมาะสมกว่า
“กฎหมายนี้ดีแต่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจค่อนข้างมาก จึงห่วงว่าการชุมนุมโดยสงบปละปราศจากอาวุธเป็นสิทธิของประชาชน โดยหลักกฎหมายต้องตีความว่าการให้สิทธิเสรีภาพต้องเป็นหลัก การยกเว้นไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิเป็นเรื่องข้อยกเว้น ดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่ใช้ดุลพินิจจะต้องคำนึงถึงหลักการนี้เป็นหลักไม่ใช้เอาข้อยกเว้นเป็นหลัก มิเช่นนั้นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย”
นายภิรมณ์ กมลรัตนกุล สนช.แสดงความเห็นว่า ระยะเวลาการแจ้งถึงการชุมนุมในร่างกำหนดให้ผู้ประสงค์ชุมนุมแจ้งผู้รับแจ้งเวลา สถานที่ก่อนชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และ สตช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการชุมนุมเช่นเส้นทางจราจร หรือระบบขนส่งสาธารณะ หลักการนี้สำคัญที่รองรับเสรีภาพผู้ชุมนุมและคุ้มครองสิทธิบุคคลอื่นที่ไม่ได้ร่วมชุมนุมด้วย การกำหนดเวลา24 ชั่วโมง อาจจะไม่เพียงพอที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดระบบการจราจรและการประชาสัมพันธ์ ทำให้เกิดผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นควรจะขยายเวลาการแจ้งการชุมนุมออกไป อาจ 48 ชั่วโมง หรือ 62 ชั่วโมง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนข้อยกเว้นการชุมนุมที่ไม่เข้าข่ายในกฎหมายนี้ เช่นการชุมนุมในสถานศึกษา ควรกำหนดให้เป็นเงื่อนไขให้ชัดว่าต้องเป็นการชุมนุมหรือระชุมที่ได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นตามระเบียบของสถานศึกษานั้นๆ ด้วย มิเช่นนั้นอาจจะอาศัยช่องวางใช้สถานศึกษาหรือแอบอ้างชื่อในการชุมนุมโดยไม่รู้เห็นก็ได้ ส่วนแนวทางดูแลการชุมนุมสาธารณะที่ต้องเป็นไปตามแผนที่ ครม.ให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอแนะของ สตช. น่าจะเป้นกระบวนการที่ถูกต้องและตามหลักสากลที่ให้ตำรวจดูแลรับผิดชอบ แต่อยากให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่าแผนและแนวทางดังกล่าวต้องเป็นที่ยอมรับในระดับสากลด้วย โดยควรกำหนดให้แผนการดูแลการชุมนุมต้องเป็นไปเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนและการชุมนุมสาธารณะ รวมทั้งต้องเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล โดยเจ้าพนักงานต้องเลี่ยงการใช้กำลังหรือควบคุมฝูงชนเท่าที่จำเป็นทั้งในแผนการดังกล่าวต้องมีการกำหนดให้ชัดว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ หรือสถานการณ์ใดที่เข้าข่ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย และต้องมีกระบวนการเจรจาร่วมกันระว่างเจ้าพนักงาน ผู้ชุมนุมและตัวแทนของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีกลไกการเจรจาเป็นไปอย่างอัตโนมัติ หากให้อำนาจเจ้าหน้าที่จับกุมลงโทษได้ก็จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้น
นายสมชาย แสวงการ สนช.อภิปรายว่า ตนสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้เขียนไว้ดีระดับหนึ่ง เช่น การห้ามเคลื่อนขบวนตั้งแต่เวลา 18.00-0.6.00 น. เว้นแต่ได้รับอนุญาตเจ้าพนักงานการดูแล เป็นการป้องกันเหตุที่เกิดในยามค่ำคืน หรือการไม่ปราศรัยจัดกิจกรรมใช้เครื่องขยายเสียงในระหว่าง 24.00 น.ถึง 06.00 น. แสดงว่ายังสามารถชุมนุมค้างคืนได้ หรือการไม่อนุญาตให้ผู้ชุมนุมพกพาอาวุธเข้าไปในที่ชุมนุม เพราะที่ผ่านมาทุกครั้งที่มีการชุมนุมจะพบว่ามีการใช้อาวุธสงครามจนเกิดการเสียชีวิต และบาดเจ็บ จึงจำเป็นต้องมีกติกาให้ชัดเจน ส่วนที่มีบางประเด็นที่มีเสียงท้วงติงจากฝ่ายสิทธิมนุษยชน เช่นคำนิยาม ผู้จัดการการชุมนุมที่อาจกว้างเกินไป หรือเขตป้องกันในพื้นที่พระราชวัง 150 เมตร การกำหนดโทษควรจะมีการแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ และควรกำหนดให้ผู้จัดการชุมนุมมีหน้าที่ควบคุมการปราศรัยด้วย ไม่ใช่ยุให้ใช้น้ำมันเผาจนเกิดทะเลเพลิง หรือยุให้เอาอาวุธสงครามไปยิงเจ้าหน้าที่รัฐ โทษยังไม่เพียงพออาจต้องเขียนให้ชัดเจนไม่ใช่ใช้กฎหมายอาญาอย่างอื่นดำเนินการ เชื่อว่ากฎหมายนี้ออกมาจะทำให้เจ้าหน้าที่มีความรัดกุมมากขึ้น หวังว่าเมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎอัยการศึกอีกต่อไป
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า หลังจากที่ คสช.ได้เข้ามาบริหารประเทศ หนึ่งในกฎหมายที่เห็นควรให้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาเร่งด่วนคือ พ.ร.บ.นี้ แม้จะมีการเสนอให้คสช.ออกเป็นประกาศไปเลยก็ตาม แต่หลายฝ่ายเห็นว่าไม่ควรใช้อำนาจในเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ จึงมอบหมายให้ สตช.รับไปปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทสังคมไทยในปัจจุบัน กฎหมายนี้แม้จะใช้ชื่อ “พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ” แต่ก็ไม่ได้ใช้กับการชุมนุมสาธารณะทุกประเภท มีข้อยกเว้นในบางเรื่อง กับการชุมนุมภายใต้กฎหมาย เช่น ผู้ใช้แรงงานที่เคลื่อนไหวตามกฎหมายแรงงาน หรือผู้ถือหุ้นที่ในห้างหุ้นส่วนบริษัท หรือการชุมนุมตามวัฒนธรรมประเพณีศาสนา จะไม่ใช้กฎหมายฉบับนี้ รัฐบาลตั้งใจว่าอะไรที่ไม่ควรดึงเข้ามาหรืออะไรที่ไม่เกิดผลกระทบต่อสาธารณชนก็ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้อง เพราะสามารถควบคุมวิธีอื่นได้ ส่วนการชุมนุมในสถานศึกษาจะวิชาการหรืออะไรก็ตามหากทำในอาณาบริเวณสถานศึกษาเป็นเรื่องที่สถานศึกษาจะใช้อำนาจควบคุมดูแลเองได้ ไม่ควรเชิญให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็น
ส่วนมาตรา 7 วรรคหนึ่ง การห้ามชุมนุมในรัศมี 150 เมตรในบางสถานที่ และวรรคสองวรรคสามที่ห้ามชุมนุมแต่ไม่เด็ดขาด ยังมีข้อยกเว้นผ่อนปรน เช่น รัฐสภา ทำเนียบ ศาล ทางกรรมาธิการจะรับไปพิจารณาว่าควรรวมหรือแยกกัน รวมถึงอัตราโทษในแต่ละส่วนด้วย รวมถึงบทลงโทษที่สมาชิกมองว่าโทษน้อยกฎหมายจะเป็นหมันเพราะคนไม่กลัว ก็ต้องพิจารณาจัดให้มีความสัมพันธ์กันทั้งระบบ รวมถึงนิยามคำบางคำน้อย
“หลายมาตราที่เขียนมาได้ผ่านการถกเถียง บางครั้งหาสูตรที่ชัดเจนตายตัวยาก เช่นห้ามชุมนุมสถานที่บางแห่งในรัศมี 150 เมตร มันมีที่มาที่ไป เช่นต้องดูศักยภาพของเจ้าหน้าที่ อาวุธ และการใช้เสียงที่อาจจะไปกระทบ ที่ต้องอธิบายในชั้นกรรมาธิการต่อไป ส่วนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 49 ที่ว่า พ.ร.บ.ทางหลวงห้ามชุมนุมในทางหลวงเว้นแต่ได้รับอนุญาตกับเจ้าหน้าที่ นั้นขัดรัฐธรรมนูญ ขอเรียนว่าในพรบ.ทางหลวงพูดถึงการชุมนุมทุกประเภทไม่สามารถในทางหลวงได้เว้นแต่ขออนุญาต แต่ร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอนี้ไม่ห้ามการชุมนุมในทางหลวง เพียงแต่ถ้าเกิดชุมนุมในทางหลวง คนที่จัดการชุมนุมหากเกี่ยวกับกับการขออนุญาตกฎหมายใดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายนั้น เช่นร่างฉบับนี้ไม่ห้ามการใช้เครื่องขยายเสียง แต่ก็มีกฎหมายว่าด้วยเครื่องขยายเสียงโดยเฉพาะที่จะต้องยึดเป็นหลัก ถ้าถูกต้องแล้วกฎหมายนี้ไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลย แต่ก็ขอให้กรรมาธิการนำเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือของศาลอื่นไปประกอบการพิจารณาด้วยเพื่อความรอบคอบ”
นายวิษณุกล่าวว่า รัฐบาลยืดหลักสำคัญ 4 ประการ ที่ทำให้แตกต่างจากร่างพ.ร.บที่เคยเสนอหลายปี โดยเข้าใจว่าตอบสนองการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านได้พอสมควร คือ สามารถคุ้มครองผู้ชุมนุมให้มีความมั่นใจเช่นระบุว่าเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปควบคุมการชุมนุมต้องแต่งเครื่องแบบ แสดงตนให้รู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ จะปลอมตัวเข้าไปไม่ได้ ใครที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องหรือ ผู้ชุมนุม ไม่สามารถพกอาวุธเข้าไปได้ แต่เจ้าหน้าที่โดยตรงสามารถพกอาวุธเข้าไปได้หรือไม่ก็ต้องดูอำนาจหน้าที่ 1. กฎหมายนี้ไม่มีส่วนใดที่การชุมนุมต้องขออนุญาตก่อน มีแต่ต้องไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่เพื่อบอกให้รู้รายละเอียดเพื่ออำนวยความสะดวกและเตรียมการต่างๆ 2. ส่งเสริมให้มีการจัดสถานที่สำหรับการชุมนุม 3. ให้มีหลักประกันเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพจนบางเรื่องไปสู่ศาล และ 4. กฎหมายนี้ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษสุด ยังคงมีการชุมนุมต่อไปแต่จะมีระเบียบแบบแผนมากขึ้นและเกิดความมั่นใจมากขึ้น และที่สำคัญมีการกำหนดให้ สตช.จัดทำแผนและมาตรการควบคุมการชุมนุม โดยครม.ต้องให้ความเห็นชอบหลังจากที่ได้ปรึกษากับกฤษฏีกาและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแล้ว เพื่อเป็นคู่มือใช้ควบคุมฝูงชน ที่จะมีรายละเอียดมากกว่าในกฎหมายนี้ต่อไป หาก สนช.รับหลักการกฎหมายนี้และปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยอาศัยประสบการที่มีการชุมนุมมาหลายครั้งสมบูรณ์ต่อการคุ้มครองเสรีภาพต่อการชุมนุม ต่อเจ้าหน้าที่และต่อประชาชนทั่วไป
จากนั้นสมาชิก สนช.ได้มีมติเอกฉันท์ รับหลักการ 180 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะจำนวน 22 คน