xs
xsm
sm
md
lg

อดีต ส.ว.ปัดทุกข้อหาถอดถอน ขู่ สนช.ตามน้ำขัดคำสั่งศาล-ป.ป.ช. ฉะตีมึนไม่รู้ญัตติสอดไส้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สนช.พิจารณาถอดถอนอดีต 38 ส.ว.แก้ที่มา ส.ว. ป.ป.ช.ชี้พฤติการณ์ส่อขัด รธน. จำแนก 4 ฐานความผิด ย้ำให้ความเห็นชอบร่าง รธน.ปลอม ฉะแกล้งโง่ไม่รู้เป็นญัตติสอดไส้ ตัวแทนอดีต ส.ว. ปัดทุกข้อหา โต้ข้อกล่าวหาขัด กม.ป.ป.ช.และข้อบังคับประชุม สนช. ขุดปม “ภักดี” นั่ง ป.ป.ช.ขัด กม. แถม “สุภา” ร่วมลงชื่อก่อนโปรดเกล้าฯ อัด ป.ป.ช.อำนาจล้น ขู่ สนช.ถอดถอนผิดฐานขัดคำสั่งศาล รธน. นัดวันซักถาม 5 มี.ค.

วันนี้ (25 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.30 น. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระบวนการถอดถอนอดีต ส.ว.38 คนออกจากตำแหน่ง กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว.โดยมิชอบ เป็นขั้นตอนการแถลงเปิดสำนวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.และการแถลงโต้แย้งการเปิดสำนวนของผู้ถูกกล่าวหา โดยมีตัวแทนคือ นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. และตัวแทนฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 29 คน

ทั้งนี้ นายวิชัยแถลงว่า จากจากการไต่สวนของ ป.ป.ช.ที่ได้พิจารณาพฤติการณ์ของอดีต ส.ว. พบว่ามีอยู่ 38 คน ที่มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและข้อกฎหมาย โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มความผิด ประกอบด้วย 1. ข้อกล่าว นางภารดี จงสุขธนามณี และ พล.ท.พงศ์เอก อภิรักษ์โยธิน กรณีร่วมลงชื่อเสนอญัตติร่างรัฐธรรมนูญและลงมติในวาระที่ 3 แต่ไม่ได้พิจารณาลงมติในวาระ 1 ขั้นรับหลักการ และวาระ 2 ขั้นพิจารณาเรียงลำดับรายมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 6 ที่มีการแก้ไขหลักการสำคัญ มีผลทำให้บุคคลผู้เคยดำรงตำแหน่ง ส.ว.ที่สิ้นสุดสมาชิกภาพลงสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ว.ได้อีก โดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลา 2 ปี

2. ข้อกล่าวหานายประสิทธิ์ โพธสุธน นายสมชาติ พรรณพัฒน์ พล.ต.ต.องอาจ สุวรรณสิงห์ นายดิเรก ถึงฝั่ง นายประวัติ ทองสมบูรณ์ นายกฤช อาทิตย์แก้ว พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ นายภิญโญ สายนุ้ย นายไพบูลย์ ซำศิริพงษ์ นายสุเมธ ศรีพงษ์ พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ นายสุรพงษ์ ตันธนศรีกุล นายพีระ มานะทัศน์ นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง นายสุวิศว์ เมฆเสรีกุล นายรักพงษ์ ณ อุบล นายบวรศักดิ์ คณาเสน นายจตุรงค์ ธีระกนก นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ และนายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร รวม 22 คน กรณีร่วมลงชื่อเสนอญัตติร่างรัฐธรรมนูญและลงมติในวาระ 1, 2 และ 3

3. ข้อกล่าวหานายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ นายโสภณ ศรีมาเหล็ก นายต่วน อับดุลเล๊าะ ดาโอ๊ะมารียอ พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ นายประดิษฐ์ ตันวัฒนะพงษ์ พล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์ นายวรวิทย์ บารู นายสุโข วุฑฒิโชติ นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง นายสุริยา ปันจอร์ นายถนอม ส่งเสริม นายบุญส่ง โควาวิสารัช และนายวรวิทย์ วงษ์สุวรรณ์ รวม 13 คน กรณีร่วมลงชื่อเสนอญัตติร่างรัฐธรรมนูญและลงมติในวาระ 1 และวาระ 3 และ4. ข้อกล่าวหา นายวิทยา อินาลา กรณีร่วมรายมือชื่อเสนอญัตติร่างรัฐธรรมนูญและลงมติในวาระ 1 และ 2

“จากการไต่สวนพบว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ทั้ง 38 คนได้เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไข กับ ร่างรัฐธรรมนูญที่บรรจุเข้าสู่วาระการประชุมเพื่อลงมติวาระ 1, 2 และ 3 มีเนื้อหาไม่ตรงกัน โดยมีการแก้ไขหลักการสำคัญให้ ส.ว.ที่สิ้นสุดสมาชิกภาพ สามารถลงสมัครเป็นส.ว.ได้อีก โดยไม่ต้องรอให้พ้นตำแหน่ง 2 ปี ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับที่ลงมติไม่ปรากฎว่า มี ส.ว.ร่วมลงชื่อรับรองร่างดังกล่าว ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ชอบตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ โดยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยืนยัน ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร ดังนั้นจากการไต่สวนจึงวินิจฉัยได้ว่า ทั้ง 38 คน มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าร่างที่ได้ลงมติไปนั้นเป็นร่างสอดไส้ ที่เสนอโดยมิชอบ ข้ออ้างที่ว่า ไม่ทราบว่า ร่างที่ลงมติเห็นชอบเป็นคนละฉบับกับที่ร่างที่เข้าชื่อเสนอ เป็นเรื่องที่รับฟังไม่ขึ้น”

นายวิชัยกล่าวว่า ยืนยันว่า ป.ป.ช.มีอำนาจในการไต่สวนถอดถอนกรณีดังกล่าว แม้รัฐธรรมนูญปี 50 จะไม่มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ประกาศ คสช.ฉบับที่ 24/2557 ให้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ยังมีผลบังคับใช้ต่อไป ประกอบกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557 มาตรา 6 ให้สนช.ทำหน้าที่เป็น ส.ส.และ ส.ว. ซึ่ง สนช.มีข้อบังคับการประชุมปี 2557 ระบุให้สนช.มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ดังนั้น ป.ป.ช.ย่อมมีอำนาจในการไต่สวนเรื่องดังกล่าว พร้อมส่งรายงานคำร้องถอดถอนมายังสนช.เพื่อดำเนินการถอดถอนได้

ต่อมาเป็นการแถลงคัดค้านข้อกล่าวว่า โดยนายกฤช อาทิตย์แก้ว อดีต ส.ว.กำแพงเพชร กล่าวว่า พวกตนขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมดทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงนั้น และคำร้องที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เข้าชื่อยื่น ป.ป.ช. เพื่อขอให้ถอดถอนพวกตนออกไม่เป็นไปตาม มาตรา 61 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และข้อบังคับการประชุม สนช. พ.ศ. 2557 ข้อที่ 164 เพราะในคำร้องมีแค่ลายเซ็นและหมายเลขสมาชิก ส.ส. เท่านั้น ทั้งที่ตามกฎหมายและข้อบังคับดังกล่าว ระบุว่าจะต้องมีที่อยู่ผู้ลงชื่อด้วย อีกทั้งตัวอักษรในคำร้องกับตัวอักษรในลายมือชื่อไม่ใช่ตัวพิมพ์ชนิดเดียวกัน และในรายงานสำนวนไต่สวนของ ป.ป.ช.มีชื่อนายภักดี โพธิศิริ ร่วมพิจารณาด้วย ทั้งที่นายภักดีมีปัญหาเรื่องการดำรงตำแหน่งว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้ลาออกจากบริษัทเอกชนหลังจากที่ได้รับการเลือกให้เป็น ป.ป.ช.ภายใน 15 วันตามที่กฎหมายกำหนด ถือว่าขัดต่อคุณสมบัติของบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้นจึงไม่ถือเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยและกำลังเป็นคดีฟ้องร้องอยู่ที่ศาลปกครอง และทราบว่าเรื่องดังกล่าวประธาน สนช.ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการการเมือง สนช.ได้ตรวจสอบหลังจากที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.ได้ร้องเรียนเข้ามา

นอกจากนี้ ในรายงานการยื่นให้ สนช.ถอดถอนครั้งนี้ลงวันที่ 15 พ.ค. 2557 พบว่า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ได้ลงนามร่วมด้วยในฐานะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ในราชกิจจานุเบกษา น.ส.สุภาได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช.วันที่ 9 ก.ย. 2557 จึงทำให้การถอดถอนครั้งนี้อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น มติของ สนช.ที่ออกไปก็จะมีปัญหาหากยังเดินหน้ากระบวนการถอดถอนต่อไป การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ถูกกล่าวหากระทำไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยมีคำสั่งว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 ซึ่งก่อนหน้านี้ พวกเรายังเคยช่วยพรรคประชาธิปัตย์แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรามาแล้ว และในมาตรา 130 ได้ให้เอกสิทธิ์คุ้มครองแก่สมาชิกรัฐสภาว่าการอภิปรายในสภาใดๆ ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุในการฟ้องร้องได้

“กรรมการ ป.ป.ช.บางคนทำงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีอคติ ความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่ชอบจะให้มีส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ขณะนี้ ป.ป.ช.ถือว่ามีอำนาจมาก สามารถที่จะกล่าวโทษข้าราชการ นักการเมือง ถือว่ามีอำนาจล้นฟ้า แต่การมีอำนาจมากจะทำให้ความเป็นธรรมน้อยลง กระบวนการถอดถอนของ สนช.ครั้งนี้มาจากคำร้องที่ไม่ชอบและมีบุคคลที่ไม่ใช่กรรมการ ป.ป.ช.ร่วมลงมติไม่ว่าผลจะออกมาถอดถอนหรือไม่ มติของ สนช.อาจไม่ชอบ และพวกผมสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามที่เห็นสมควรต่อไป ยืนยันทั้ง 38 คน ไม่ได้กระทำการที่ส่อว่าจงใจขัดต่อรัฐธรรมนูญตามที่ข้อ.กล่าว หากระบวนการถอดถอนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 15/2553 และ 16/2553 ซึ่งไม่ว่าผลออกมาอย่างไร จะไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากพวกผมอย่างเด็ดขาด บ้านเมืองขณะนี้วุ่นวายมามากพอแล้วจึงไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวายขึ้นอีก”

ขณะที่นายวิทยา อินาลา อดีต ส.ว.นครพนม แถลงว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยนายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย มีเพียงร่างเดียว ไม่มีร่างปลอม ทั้งนี้การขอเปลี่ยนแก้ไขเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอไปสามารถทำได้ หากยังไม่มีการบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุม ตามแนวทางปฏิบัติของกระบวนการพิจารณาทางนิติบัญญัติ ข้อ 3 ที่ระบุว่าผู้เสนอหลักจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.บ.สามารถนำร่างรัฐธรรมนูญหรือร่าง พ.ร.บ.ใหม่ มาเปลี่ยนกับร่างรัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.บ.ฉบับเดิมได้ ซึ่งอาจจะแก้ไขเฉพาะส่วนที่ผิด หรือนำร่างใหม่มาเปลี่ยนร่างเดิมได้ แต่ต้องใช้เลขรับหนังสือเดิม ดังนั้นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว. ที่มีการเพิ่มเติมเนื้อหามาตรา 6 เข้าไป จึงชอบด้วยมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ

“พวกผมร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่ใต้อาณัตพรรคการเมือง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะการลงมติไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เราจำใส่สมองตลอดว่า ส.ว.มีหน้าที่อย่างไร ผ่านการปฏิญาณตนมาแล้ว การมาบอกว่าเราล้มล้างระบอบประชาธิปไตย อยากถามว่าเอาสมองส่วนไหนมาคิด” นายวิทยากล่าว

ต่อมานางภารดี จงสุขธนามณี อดีต ส.ว.เชียงราย โต้แย้งว่าตน และพล.ท.พงศ์เอก อภิรักษ์โยธิน อดีต ส.ว.พะเยา ได้มีการลงชื่อยื่นญัตติ แต่มีการลงมติในวาระ 3 เท่านั้น อยากถามว่าทำไม ป.ป.ช.ต้องลงมติ ถึง 2 ครั้ง ทั้งที่การลงมติในครั้งที่แรกได้ยุติไปแล้วว่า ตนและ พล.ท.พงศ์เอกหลุดจากคดีแล้ว แต่เมื่อผ่านไปเพียง 10 วันก็กลับมีการหยิบยกขึ้นมาทบทวนใหม่ ทำให้การทำงานของ ป.ป.ช.ขาดความน่าเชื่อถือ เพราะการจะหยิบยกมติดังกล่าวขึ้นมาทบทวนใหม่ ต้องมีหลักฐานเพิ่ม และต้องมีการแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบ แต่สิ่งที่ ป.ป.ช.ทำคือ ไม่มีการแจ้งให้ตนและ พล.ท.พงศ์เอกรับทราบเลย อย่างนี้ถือว่าเป็นการดิสเครดิต ทำงานสองมาตรฐานหรือไม่

ด้าน พล.ท.พงศ์เอกชี้แจงโต้แย้งว่า การลงมติของ ป.ป.ช.ในครั้งแรก มติเท่ากันคือ 4 ต่อ 4 ทำให้ประธาน ป.ป.ช.ใช้อำนาจตัดสินเสียงชี้ขาด ซึ่งประธานได้ลงมติให้หลุดจากคดีดังกล่าว ดังนั้นตนและนางภารดีจึงไม่อยู่ในรายชื่อ 38 คน แต่การนำกลับมาทบทวนใหม่ โดยอ้างตามกฎหมายการถอดถอนว่าจะต้องใช้เสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการ ป.ป.ช.ที่มีอยู่ ซึ่งมติออกมา 4 ต่อ 4 ถือว่าตนและนางภารดีผิด จึงไม่เข้าใจว่าคะแนน 4 ต่อ 4 มากกว่ากึ่งหนึ่งอย่างไร ดังนั้นการที่ตนและนางภารดีจะถูกถอดถอนหรือไม่ ก็อยู่ที่ดุลพินิจของสนช.ที่จะชี้ซ้ายหรือชี้ขวา

จากนั้นนายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี ชี้แจงโต้แย้งว่า สิ่งที่ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินครั้งนี้เป็นจินตนาการที่คิดว่านักการเมืองจะไปสร้างอิทธิพล กินบ้านกินเมือง แล้วผลักให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมือง เพราะไปมีแนวคิดและอุดมการณ์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.เหมือนกับคนสีใดสีหนึ่ง ต้องขอบคุณที่สนช.รับเรื่องของพวกตนไว้พิจารณา และเปิดโอกาสให้พวกตนได้ชี้แจงต่อที่ประชุมแห่งนี้ เพื่อเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะว่าสิ่งที่พวกตนทำกำลังคิดอะไรอยู่และมีผลต่อประชาชนอย่างไร เพราะจะมีสักกี่คนที่จะรู้เนื้อหาสาระในการกล่าวหาครั้งนี้

ต่อมานายดิเรก ถึงฝั่ง อดีต ส.ว.นนทบุรี แถลงสรุปว่า ยืนยันว่าการทำหน้าที่ของ ส.ว.ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นทำถูกต้องทุกประการ และการแก้รัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. ไม่ได้หมายความว่า ส.ว.แต่ละคนจะกลับมาลงสมัครเป็น ส.ว.อีกครั้ง เพราะแต่ละคนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะกลับมาลงสมัครอีกหรือไม่ ถ้าจะกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็ถือว่าองค์ประกอบยังไม่ครบถ้วน ขอยืนยันว่าไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และข้อกล่าวหาที่ว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เรื่องการล้มล้างการปกครองนั้น ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งเกี่ยวกับการล้มล้างการปกครองตรงไหน ยืนยันว่า พวกเราทุกคนมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ผ่านศึกเหนือเสือใต้มามาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะกระทำการล้มล้างการปกครอง

จากนั้นนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้แจ้งถึงการยื่นแสดงความประสงค์ที่จะแถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจา ต้องยื่นต่อ สนช.ตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. ถึง 3 มี.ค. แต่หากต้องการแถลงเป็นหนังสือ สามารถยื่นได้ตั้งแต่วันที่ 3-9 มี.ค. ส่วนการยื่นญัตติซักถามให้สามารถยื่นได้ตั้งแต่วันนี้ (25 ก.พ.) ถึงเวลา 12.00 น.ของวันที่ 27 ก.พ. และกำหนดให้ตั้งกรรมการซักถามจำนวน 7 คน คือ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ นายยุทธนา ทัพเจริญ คุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี นายกิตติศักดิ์ รัตนวาราหะ นายปรีชา บัววิรัตน์เลิศ นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล นายกรรณภว์ ธนภรรคภวิน พร้อมทั้งกำหนดวันซักถามในวันที่ 5 มี.ค.
















กำลังโหลดความคิดเห็น