ผ่าประเด็นร้อน
หากฟังจากคำพูดของ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สัญญาต่อนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซินโซ อาเบะ ระหว่างเดินทางเยือนประเทศดังกล่าวอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ ว่าจะมีการเลือกตั้งในประเทศไทยช่วงปลายปีนี้หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปีหน้า และย้ำว่าระหว่างนี้กำลังอยู่ในการปฏิรูปประเทศขั้นที่ 2 และการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำลังมีความคืบหน้าไปตามโรดแมปทุกประการ
จากคำพูดดังกล่าวก็ต้องมาพิจารณาในเรื่องสำคัญกันทีละเรื่องก่อนที่จะเชื่อมโยงถึงกันในตอนท้าย โดยต้องพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและสถานการณ์ในปัจจุบันมาประกอบ
เริ่มจากการเลือกตั้ง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยันว่าจะเกิดขึ้นไม่เกินต้นปีหน้า หากเป็นแบบนี้ก็ต้องหมายความว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 เพื่อกำหนดให้มีการ “ลงประชามติ” ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั่นคือหลังจากสภาปฏิรูปแห่งชาติโหวตรับร่างแล้ว จากนั้นก็จะมีการออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่มีความเกี่ยวข้องและจำเป็นเร่งด่วนแล้วจึงมีการเลือกตั้ง เพราะถ้ามีการลงประชามติ จะเลือกตั้งไม่ทันต้นปี ที่ผ่านมารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย “วิษณุ เครืองาม” เคยระบุเอาไว้ว่าหากมีการลงประชามติ การเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปี 59
อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เรียกว่า “ป่วนหรือไม่ป่วน” ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยกล่าวเอาไว้หลายครั้ง หากทุกอย่างเรียบร้อยก็จะเดินหน้าไปตามโรดแมป และการือกตั้งก็จะเกิดขึ้นเร็ว แต่หากยังเกิดความวุ่นวาย การเลือกตั้งก็จะล่าช้าออกไปและรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็จำเป็นต้องอยู่ทำหน้าที่ต่อไป
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องพิจารณากันอีกก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะลงเลือกตั้งและสืบทอดอำนาจต่อไปหรือไม่ หากย้อนกลับไปฟังคำพูดก่อนหน้านี้ก็พอเข้าใจว่า หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจใน “รัฐบาลเฉพาะกาล” ครั้งนี้แล้วก็จะกลับไปอยู่บ้าน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ ขณะเดียวกันก็จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกด้วย อย่างไรก็ดีมันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ แม้จะไม่ผ่านการเลือกตั้งก็ตาม เพราะมีการคาดการณ์กันว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเปิดทางให้นายกฯไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันสุญญกาศทางการเมือง เป็นการหาทางออกป้องกันทางตันเกิดขึ้นอีก และถึงตอนนั้นหากพรรคการเมืองรวมทั้งกระแสสังคมเรียกร้องมันก็มีการเปลี่ยนแปลงกันได้
แต่สิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษนับจากนี้ไปก็คือ การจัดการทางกฎหมายกับคนที่ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” หลังจากที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้ออกมาเร่งเร้าให้จัดการกับคนโกงอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว อย่าให้มีที่ยืนในสังคมไปก่อนหน้านี้ สังเกตได้ว่าในช่วงนี้ได้เกิดความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจก็คือ มีการเร่งรัดดำเนินคดีทุจริตประพฤติมิชอบในหลายกรณี รวมไปถึงการจับกุมเครือข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
สัญญาณที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการดำเนินคดีต่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตามมาเป็นพรวน ตั้งแต่การถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติถอดถอน ตามมาด้วยถูกฟ้องในคดีอาญาจากโครงการรับจำนำข้าวที่เกิดการทุจริตเกิดความเสียหายกับบ้านเมืองมหาศาล และที่กำลังจะตามมาอีกดอกใหญ่คือการฟ้องแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายอีกไม่น้อยกว่า 7 แสนล้านบาท เรียกว่าหนักหนาสาหัส
ขณะเดียวกันยังมีบรรดาเครือข่ายลิ่วล้อที่กำลังถูกดำเนินคดีอาญา กำลังเข้าคิวถูกถอดถอน ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง ทั้งจากกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมิชอบ การเสียบบัตรแทนกัน การทุจริตเลือกตั้ง ที่ล่าสุดทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีการแจกใบแดงส่งฟ้องศาลกันบ้างแล้ว ซึ่งการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแบบนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เจ้าเก่าก็กำลังถูกพิจารณาความผิดในกรณี “ทัวร์นกขมิ้น” ถ้าผิดก็โดนหนักอีก
หากมองเผินๆอาจเข้าใจว่านี่คือการกลั่นแกล้งอย่างที่ชอบอ้างกัน แต่ในความเป็นจริงมันคือความผิด และเกิดความเสียหายขึ้นจริง ทุกอย่างหากพิจารณากันอย่างเป็นธรรมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนพวกนี้ได่กระทำการเหิมเกริมแบบเย้ยกฎหมาย เพราะคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมาย และที่สำคัญไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพแบบนี้
สิ่งที่ต้องพิจารณาตามมาก็คือ เมื่อสัญญาณจัดการกับคนโกงแรงชัดแบบนี้ มันก็ต้องเชื่อมโยงไปถึงรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ต่อเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ที่ต้องเดินตามกรอบมาตรา 35 (4) ที่ห้ามนักการเมืองที่ทุจริตลงสนามการเมืองตลอดชีวิต หากเป็นแบบนี้จะมีใครบ้างที่อยู่ในข่ายก็น่าจะพอมองออกมาว่าจะมีใครบ้าง
ดังนั้น เมื่อพิจารณาอย่างเชื่อมโยงกันก็จะเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือสัญญาณเข้มที่เกิดขึ้นหลังจากกระแสให้จัดการกับคนโกงให้เด็ดขาดและรวดเร็ว รวมทั้งยังมองเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในต้นปี 59!
