xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” จับพิรุธกรมเชื้อเพลิงฯ เชื่อใช้วาทกรรมอำพรางเร้าเปิดสัมปทานรอบ 21

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

น.ส.รสนา โตสิตระกูล (แฟ้มภาพ)
“รสนา” เชื่อกรมเชื้อเพลิงฯ มโน “เปิดสัมปทานรอบที่ 21 ไปก่อนค่อยเปลี่ยนเป็นระบบแบ่งปันหลังมีการแก้ กม.” ชี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรภายใต้กฎหมายที่ระบุว่าต้องใช้ระบบสัมปทานเท่านั้น กระตุ้นแก้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมก่อนค่อยเปิดสัมปทาน ยันล้าสมัยเสียเปรียบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางศาล ปล่อยต่างชาติวางเงื่อนไขทำลายประโยชน์บ้านเมือง

วันนี้ (6 ก.พ.) เมื่อเวลา 02.00 น. น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว รสนา โตสิตระกูล ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 ภายใต้หัวข้อ “สัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 กับการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของไทย” ตามข้อความ ดังนี้

“ได้ฟังข่าวช่วงเย็นวันที่ 5 ก.พ.ว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติประกาศจะมีการสงวนสิทธิแปลงสัมปทาน 3 แปลงที่มีศักยภาพที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงแหล่งบงกช และแหล่งเอราวัณ ที่เป็นแหล่งผลิตก๊าซขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยว่า จะขอสงวนสิทธิเปลี่ยนไปใช้ “ระบบแบ่งปันผลผลิต” (Production Sharing Contract) ในอนาคตเมื่อมีการแก้ไขกฎหมาย โดยจะให้สัมปทานไปก่อนในการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ที่รัฐบาลยังคงยืนหยัดจะเปิดรับการขอสัมปทานในวันที่ 18 ก.พ. 2558 นี้

สิ่งที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติประกาศนั้น น่าจะเป็นคำลวงเพื่อลดกระแสการต่อต้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 จากประชาชนทั่วสารทิศหรือไม่? พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 บัญญัติไว้ชัดเจนว่าเอกชนที่จะมาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศต้องได้สัมปทานจากรัฐเท่านั้น การอ้างว่าจะเขียนข้อสงวนสิทธิเพื่อขอเปลี่ยนแปลงจากระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต จะเกิดขึ้นภายใต้กฎหมายที่ระบุว่าต้องใช้ระบบสัมปทานเท่านั้นได้อย่างไร? และไหนๆ คิดจะขอสงวนสิทธิแล้ว ก็แสดงว่ามีเจตนาจะแก้ไขกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็น “ระบบแบ่งปันผลผลิต” เหตุใดไม่แก้ไขกฎหมายเสียให้เสร็จก่อน ค่อยดำเนินการเปิดให้เอกชนมาขอสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม

พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 มีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง คือ เรื่องการจัดการกับข้อพิพาทที่รัฐจะเพิกถอนสัมปทานเอกชน ปรากฏว่าในกฎหมายปิโตรเลียมที่ถูกออกแบบและเขียนโดยที่ปรึกษาฝรั่งอเมริกัน ทำให้รัฐสูญเสียอำนาจความได้เปรียบเหนือเอกชนในการบริหารจัดการทรัพยากรของประเทศ ในกฎหมายปิโตรเลียมกำหนดว่าหากมีข้อพิพาทที่รัฐจะเพิกถอนสัมปทานด้วยเหตุใดก็ตาม ต้องใช้ระบบอนุญาโตตุลาการ

ในสัญญาสัมปทานปิโตรเลียม 20 รอบที่ผ่านมา ในระยะแรกระบุไว้เพียงให้รัฐกับเอกชนตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายของตนฝ่ายละคน และให้อนุญาโตตุลาการทั้งสองฝ่าย ไปตกลงเลือกอนุญาโตตุลาการคนที่ 3 กันเอง แต่ในการเปิดสัมปทานรอบหลังๆได้ระบุว่า อนุญาโตตุลาการคนที่ 3 ที่เป็นเสียงชี้ขาดนั้นให้ “ประธานธนาคารโลก” หรือ “ประธานศาลแห่งสมาพันธรัฐสวิส” เป็นผู้แต่งตั้ง การกำหนดเช่นนี้ย่อมทำให้เอกชนต่างชาติมีอำนาจเหนือรัฐบาล เพราะ 2 เสียงในอนุญาโตตุลาการย่อมเป็นฝ่ายของเอกชนต่างชาติ ดังที่เห็นอยู่เสมอว่ากรณีพิพาทที่รัฐบาลไทยมีกับบริษัทต่างชาติในระบบอนุญาโตตุลาการ รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายแพ้และเสียค่าโง่มาโดยตลอด

ตามปกติแล้วระบบอนุญาโตตุลาการเป็นเรื่องที่ใช้กับทางธุรกิจ ถ้ารัฐบาลไทยไปกู้เงินต่างชาติ เขาก็มักจะบังคับให้รัฐบาลต้องใช้ระบบอนุญาโตตุลาการเพื่อคงความได้เปรียบของเขา ส่วนการให้สัมปทานปิโตรเลียม เป็นการที่ต่างชาติมาขุดสมบัติในบ้านเรา ควรแล้วหรือจะให้เขามามีอำนาจกำหนดเงื่อนไขกับเงิน และทรัพย์สินในกระเป๋าของเรา?

ในอดีตที่ประเทศไทยเคยเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้กับต่างชาติมาเป็นเวลานาน เป็นความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับประเทศ และบุรพกษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ได้พยายามต่อสู้เพื่อปลดปล่อยบ้านเมืองให้ปลอดพ้นจากพันธนาการของต่างชาติในทางศาล จนมาประสบความสำเร็จหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงงานแรกของรัฐสภาไทย ที่สามารถยกเลิกการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางศาลได้สำเร็จ มาวันนี้เรากลับสละอำนาจศาลไทยในการดูแลคุ้มครองประโยชน์บ้านเมือง ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่รัฐบาลไทยจะรีบแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมที่ล้าหลัง ที่ทำลายประโยชน์บ้านเมือง เพื่อปลดล็อคพันธนาการ ที่ต่างชาติวางกลไก เงื่อนไขมาจัดการกับทรัพย์สินในกระเป๋าของเรา

สิ่งที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติแถลงเรื่องการสงวนสิทธิแปลงสัมปทาน 3 แปลงไว้เพื่อเปลี่ยนแปลงไปใช้ระบบอื่น จึงเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือกฎหมายปิโตรเลียมบัญญัติไว้ ถ้าไม่ใช่สิ่งที่กรมเชื้อเพลิงคิดมโนไปเองโดยไม่มีหลักกฎหมายรองรับ ก็น่าจะเป็นเพียงคำลวงเพื่อลดกระแสต่อต้านการเปิดสัมปทานรอบ 21 เท่านั้นกระมัง!?!”


กำลังโหลดความคิดเห็น