รายงานการเมือง
เหตุระเบิดหน้าห้าง “สยามพารากอน” ในช่วงค่ำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ สร้างภาพหวาดกลัวให้ “คนเมืองหลวง” อีกครั้ง หลังเสียงปืน - กลิ่นระเบิด กลับมาหลอกหลอน หลังจางหายไปนานเกือบ 9 เดือน ภายหลังที่ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) เข้ายึดอำนาจจาก “รัฐบาลปูแดง”
ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งแรกในยุค คสช. ครองเมือง
สาเหตุและที่มาของระเบิดอยู่ระหว่างการแกะรอยสอบสวนสืบสวนอยู่ ซึ่งยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่า มูลเหตุจูงใจมาจากเรื่องใด หรือมีการกระทำของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
จะไปโทษเป็นฝีมือเด็กช่างกลอาชีวะก็ดูจะเบาหวิวเป็นปุยนุ่น เพราะระเบิดที่ใช้เป็นแบบแสวงเครื่องต้องมีความชำนาญในการประกอบพอสมควร อีกทั้งการวางระเบิดในที่สาธารณะดูจะผิดวิสัย “เด็กช่าง” ที่มักเลือกประกาศศักดาไปที่ “คู่อริ” มากกว่า จะมาสร้างความปั่นป่วนเช่นนี้
แน่นอนว่าเหตุการณ์เป็นการสร้างสถานการณ์ แต่หวังผลอย่างไรยังตอบยาก กลุ่มที่ถูกจับตามองคงหนีไม่พ้น “ฝ่ายอำนาจเก่า - คนเสื้อแดง” ที่ต้องตกเป็นเป้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะผู้เสียประโยชน์จากการเข้ามาของ คสช.และถือเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงอีกด้วย
และเคยมีผลงานการลอบกัด -ลอบวางระเบิดเข้าใส่ “ฝั่งตรงข้าม” ที่เชื่อมโยงไปถึง “ฝ่ายอำนาจเก่า - คนเสื้อแดง” ให้เห็นพอสมควร แม้จะสิ้นยุค “ราชาเอ็ม 79” อย่าง “เสธ.แดง - พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” แต่บรรดามือไม้ของ “แดงฮาร์ดคอร์” ยังอยู่ และบุคคลเบื้องหลังยังคงมีชีวิตอยู่หลายคน
ถึง “แดงฮาร์ดคอร์” จะแตกกระสานซ่านเซ็นหนีกระเจิดกระเจิงในช่วงที่ คสช. ยึดอำนาจใหม่ เพราะโดนบรรดาทหารไล่บี้จนไม่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกโยธินเหมือนแต่ก่อน และต้องยอมรับว่า “นักรบแดง” ที่เคยฝึกฝีมือการสู้รบกับพวก “เสธ.แดง” และ “อดีตทหารพราน” ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศอีกพอสมควร หาก “นายใหญ่” จะเรียกใช้บริการคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะจัดให้ คสช.สักดอกสองดอก
ทว่าอาจจะจำเป็นต้องเปลี่ยนชนิดอาวุธจากเดิมที่มุ่งยิงระเบิดเอ็ม 79 ที่คุ้นมือมาเปลี่ยนเป็นระเบิดชนิดอื่นแทน เพื่อไม่ให้จับทางกันติดได้ง่ายเหมือนเช่นก่อน แต่ข้อมูลจากทางตำรวจเองก็พยายามชี้ให้เห็นว่า ระเบิดแสวงเครื่อง “ไปป์บอมบ์” ที่คนร้ายใช้ในครั้งนี้ คล้ายกับระเบิดที่พบในพื้นที่มีนบุรีเมื่อไม่นานมานี้ และเป็นชนิดเดียวกันกับที่ก่อเหตุช่วงมีการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม กปปส.
ดังนั้น หากจะมองว่า “แดงฮาร์ดคอร์” ออกมาปั่นป่วนและท้าทายอำนาจของ คสช. จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย และสามารถเกิดขึ้นได้ ยิ่งระยะหลังมีประเด็นการยกเลิกกฎอัยการศึก จน คสช.ต้องเรียกแถวแกนนำพรรคเพื่อไทย-คนเสื้อแดงเข้าไปรายงานตัวซ้ำ ผนวกดับตาม "หัวเมืองแดง” ยังคงปรากฏภาพทหารไล่ล่า “หัวโจ๊กแดง” อย่างไม่ขาดสาย
เหมือนฝั่งหนึ่งไล่ล่า ฝั่งหนึ่งก็ต้องโต้ตอบเป็นธรรมดา อยู่ที่ว่าใครจะแกร่งกว่ากันเท่านั้นเอง
หรืออีกทางหนึ่งที่เก็งกันว่า งานนี้ คสช. จัดเอง เพราะระยะหลังเริ่มโดนสังคมโลกกดดันกรณีที่ยังคงกฎอัยการศึกเอาไว้ จากฝีมือการตอกลิ่มของ “แดเนียล รัสเซลล์” ผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่มาทิ้งบอมบ์ไว้ลูกใหญ่ก่อนชิ่งกลับประเทศไป
ระดับบนของรัฐบาล คสช. ทั้ง “บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม - บิ๊กป๊อก” ลั่นวาจาสวนกลับทันทีว่า ไม่มีทางยกเลิกกฏอัยการศึก เพราะนี่คือเครื่องมือที่ทำให้รัฐบาลบิ๊กตู่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัด และลดแรงต้านไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวได้
แถมยังมีเสียขู่สำทับออกมาอีกว่า เตรียมใช้มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ที่ให้อำนาจ “บิ๊กตู่” มีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทำการใดๆได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
อำนาจครอบจักรวาลตามมาตรา 44 ที่อยู่ในมือของ “บิ๊กตู่" สามารถสั่งการให้กลไกของรัฐกระทำตามคำสั่งได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย เป็นอำนาจ “รัฐฏาธิปัตย์” ที่เคยใช้กระบอกปืนนำทางเข้าสู่อำนาจใหม่ๆ ทั้งการเรียกบุคคลให้มารายงานตัว สั่งระงับธุรกรรมทางการเงิน ออกกฎหมายข้อบังคับต่างๆ หรือตั้งคณะทำงาน เป็นต้น
ส่วน “กฎอัยการศึก” คือกฎหมายที่บังคับใช้เพื่อรักษาความสงบ มีลำดับขั้นตอนในการบังคับใช้เป็นตัวบทกฎหมายชัดเจน และมีข้อห้ามตามที่ได้ระบุไว้
แต่ข้อกังวลของนานาชาติมีความเกรงกลัวคำว่า Martial law แปลตามตรงคือกฎหมายทหาร หรือที่เราเรียกกันว่ากฎอัยการศึก เพราะหากยังเป็น Martial law อยู่ นานาชาติมองว่าประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะสงคราม
ความต่างคือมาตรา 44 หากบังคับใช้จริง “บิ๊กตู่” จะกลับมามีอำนาจล้นฟ้าอีกครั้ง ทุกคำสั่งที่ออกมาจะถือว่าเป็นกฎหมายโดยชอบธรรม ขณะที่กฎอัยการศึกคือกฎหมายที่บังคับใช้เท่านั้น
วันนี้ประเทศไทยเดินมาไกลจนเกินกว่าที่ “บิ๊กตู่” จะกลับไปใช้อำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” แล้ว
เพราะอย่าลืมว่า “พรรคเพื่อไทย-เสื้อแดง” ต้องการให้โรดแมปของ คสช.เดินหน้าให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะกลับไปสู่การจัดการเลือกตั้ง เพราะนั่นคือโอกาสเดียวที่ “นายใหญ่” จะได้อำนาจกลับคืนมา หากคิดสั้นก่อเหตุรุนแรงขึ้นมา ก็เท่ากับถ่วงเวลาออก มีหวังคงต้องร้องเพลงรอกันอีกนาน
แต่ก็อย่าลืมว่า “เพื่อไทย-แกนนำแดง” หรือกระทั่ง “นายใหญ่” ไม่สามารถควบคุม “แดงฮาร์ดคอร์” ได้ทั้งหมด เพราะความอึดอัดที่โดน “ทหาร” กดดันอาจจะเป็นแรงขับให้สร้างปฏิกิริยาตอบโต้ได้เหมือนกัน
นี่คือข้อสมมุติฐานทางการเมืองที่มีแค่ 2 แนวทางเท่านั้น ที่สามารถเป็นแรงผลักให้ “มือมืด” สร้างสถานการณ์ลอบวางระเบิดใกลางกรุงแบบนี้ได้