ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่ายังมีความโชคดีที่เหตุการณ์ที่คนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องจำนวนสองลูกบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสยามเชื่อมต่อกับห้างสยามพารารอนเมื่อคืนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จะไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก มีเพียงคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย ซึ่งตำรวจได้สรุปในเบื้องต้นว่าคนร้ายมีเจตนาเพื่อต้องการข่มขู่เท่านั้น ไม่ได้มุ่งร้ายต่อชีวิต อย่างไรก็ตาม แม้จะรู้ว่าเป็นการขู่ แต่เป้าหมายที่ต้องการก็คือต้องการทำลายความเชื่อมั่นทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ รวมทั้งต้องการดิสเครดิตรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงในคราวเดียวกัน เพราะพื้นที่ก่อเหตุอยู่ในย่านกลางเมืองหลวง เป็นสัญญลักษณ์ทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี หลังเกิดเหตุไม่นาน ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพอได้เค้าคนร้ายว่าเป็นกลุ่มไหน
“ต้องไปดูว่าใครที่ออกมาพูดจาใช้ความรุนแรงอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็ต้องไปสอบว่ายึดโยงกันหรือเปล่า ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาไปดูในเรื่องนี้ด้วย สำหรับพวกที่ออกมาพูดจาทำนองว่าจะใช้ความรุนแรง ต่อต้านการปฏิบัติงานของรัฐบาล ซึ่งเรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง แต่เป็นเรื่องการทำผิดกฎหมาย ถึงจะมีความเห็นต่างทางการเมืองก็แล้วแต่ แต่ใช้ความรุนแรงอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นเพราะมันผิดกฎหมาย ทุกคนต้องเข้าใจว่าการเมือง และการทำผิดกฎหมายเป็นคนละส่วนกัน ถ้าเขาทำผิดกฎหมายก็อย่าไปให้เครดิตกับเขามากนัก ควรให้เครดิตกับเจ้าหน้าที่”
ถามว่าเหตุที่เกิดมีการรายงานมาล่วงหน้าหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “หลังจากที่มีการพูดจาในลักษณะที่รุนแรงก็เกิดเหตุการณ์ ดังนั้นก็ต้องไปหาดูว่าใครพูด”
พูดแบบนี้ก็พอนึกภาพแล้วใช่หรือไม่ว่าที่ผ่านมามีใครบ้างที่พูดออกมาในทำนองนี้บ้าง หากยังนึกไม่ออกก็ให้ลองนึกย้อนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนก็ได้ หลังจากที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโดนมติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถอดถอนจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งหลังจากนั้น เจ้าตัวก็ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟสบุ๊กส์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมาตอนหนึ่งว่า
“คำว่าความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องไม่ใช่การไล่ล่าคนใดคนหนึ่ง แต่หมายถึงความเป็นกลาง ที่ต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย เมื่อความเป็นธรรมเกิด ความยุติธรรมก็จะตามมา การยอมรับ ความสงบ ความสามัคคีก็จะมีขึ้นในสังคมไทย
เพราะเราเป็นคนไทยเหมือนกัน แทนที่เราจะหันหน้าเข้าหากัน แล้วร่วมกันทำให้ประเทศของเราเข้มแข็ง แต่กลับสร้างความจงเกลียดจงชังให้แก่กัน ไล่ล่าเพื่อให้ไม่มีที่ยืน สุดท้ายคนที่เสียหายก็คือประเทศของเรา
ดิฉันรันทดใจ ไม่ใช่เพราะดิฉันถูกกลั่นแกล้ง และประสบชะตากรรมที่ไม่เป็นธรรม แต่ดิฉันเสียใจแทนชาวนา และประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ที่ต้องสูญเสียโอกาส ต้องกลับไปอยู่ในวังวน ของความยากจน มีหนี้สิน ถูกเอารัดเอาเปรียบ และสูญเสียความเป็นประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน ตลอดจนกฎหมายถูกบิดเบือน
สุดท้ายนี้ ดิฉันก็หวังว่า ผู้ที่เป็นฝ่ายอำนวยความยุติธรรมของประเทศ จะไม่ปล่อยให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่รักษากติกาประชาธิปไตย และไม่รักษา หลักนิติรัฐ นิติธรรม มาชี้นำใดๆ อีก ดังที่มีนักวิชาการกล่าวว่า ไม่มียิ่งลักษณ์ คนไทยยังอยู่กันได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าไม่มีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่ ในระบบการปกครองของไทยแล้ว คงไม่มีใครอยู่ได้”
แม้ว่าในคำพูดดังกล่าวของเธอมองเผินๆ อาจไม่ใช่เป็นการพูดจารุนแรงโดยตรง แต่หากพิจารณาโดยละเอียดแล้ว นี่คือการไม่ยอมรับกระบวนการถอดถอน อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้งถูกไล่ล่าพร้อมทั้งมีการข่มขู่ในตัวว่าหาก “ไม่มีความยุติธรรม ก็ไม่มีความปรองดอง และในที่สุดก็ไม่มีใครอยู่ได้”
ถัดมาก็มีข้อความในเฟซบุ๊กของ พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของ ทักษิณ ชินวัตร หลานชายของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความในเชิงปลุกระดมอย่างชัดเจนว่า “พร้อมไหมคนไทย” พร้อมกับแสดงสัญญลักษณ์ชูกำปั้นขึ้นมา
จากนั้นก็มีบรรดาบุคคลในเครือข่าย ทั้งที่เป็นอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลก่อน สมาชิกพรรคเพื่อไทย แกนนำมวลชนแดง เช่น สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล พิชัย นริพทะพันธุ์ จาตุรนต์ ฉายแสง วรชัย เหมะ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นต้น ที่พูดจาทั้งดิสเครดิตและข่มขู่ในทำนองว่าจะเกิดความรุนแรงตามมา จนถูกเชิญตัวไปปรับทัศนคติในเวลาต่อมา
ดังนั้น หากมีการปะติดปะต่อมาเชื่อมโยงกันมันก็พอเห็นภาพชัดเจนว่าพวกไหนที่ออกมาพูดจาข่มขู่ในลักษณะก่อให้เกิดความรุนแรงตามมา และจะเป็นพวกเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดออกมาหรือไม่ ก็ต้องพิจารณากันด้วยความรอบคอบว่าใช่หรือไม่
อย่างไรก็ดี จากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงทำให้มั่นใจว่ามีหลักฐานจับกุมเอาผิดกับคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุและสามารถเชื่อมโยงไปถึงคนสั่งการได้ ถึงตอนนั้นคงจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นมาได้อีก แต่เท่าที่ประเมินจากเหตุการณ์ก็พอมองออกว่าคนที่ลงมือต้องการตอบโต้และยั่วยุ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดอารมณ์โกรธ จนตบะแตกจนเสียศูนย์ตามมา แต่อีกด้านหนึ่งหากสามารถจับกุมคนร้ายได้เร็วก็น่าจะกระชากหน้ากากไอ้โม่งว่าเป็นใคร ตรงกับที่คาดการณ์กันไว้หรือไม่ เชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะเห็นภาพชัดขึ้น!!